ทีมทนาย “พีซีซี” ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ คดีโรงพักตร.ทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2558 เวลา 13.30 น. ทีมทนายความของบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัดได้เดินทางมาที่ศาลปกครอง จ.เชียงใหม่เพื่อยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2558 ที่ผ่านมา กรณีศาลปกครองเชียงใหม่มีคำพิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชำระค่าก่อสร้างบางส่วนในคดีก่อสร้างโครงการอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง โดยตุลาการศาลปกครองเชียงใหม่ได้อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๔๑/๒๕๕๘ ระหว่าง บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด ผู้ฟ้องคดี กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดี สรุปว่า
คดีนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีทำสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีก่อสร้างโครงการอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง เป็นเงิน 5,848,000,000 บาท
ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือ ลงวันที่ 18 เมษายน 2556 บอกเลิกสัญญา
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ
เพราะผู้ถูกฟ้องคดีเป็นฝ่ายผิดสัญญา เนื่องจากไม่ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างหรือส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างบางแห่งล่าช้า อนุมัติผังบริเวณก่อสร้างและการอนุมัติผลการสำรวจลักษณะทางกายภาพของดินเพื่อใช้กำหนดประเภทของฐานรากอาคารล่าช้า ไม่จ่ายเงินค่าจ้างหรือจ่ายค่าจ้างล่าช้าทำให้ผู้ฟ้องคดีขาดสภาพคล่อง แต่งตั้งผู้ควบคุมงานไม่เพียงพอและไม่เหมาะสมทั้งที่ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือแจ้งเหตุและขอสงวนสิทธิขยายระยะเวลาการก่อสร้างหลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการชี้แจง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล
ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ชดใช้ค่างวดงานก่อสร้าง ค่าวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง และค่าเสียหายที่เกิดจากความล่าช้า รวมทั้งค่าธรรมเนียมในการยื่นซองประมูลราคาและค่าผลกำไรจากการก่อสร้าง ให้คืนหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาและหนังสือค้ำประกันการชำระเงินล่วงหน้า ให้งดการคิดค่าปรับตามสัญญากับผู้ฟ้องคดี และห้ามขึ้นบัญชีผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ทิ้งงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,054,384,424.13 บาท
ซึ่ง ศาลปกครองเชียงใหม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) ไปแล้วจำนวน 335 หลัง แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาแม้แต่เพียงหลังเดียว และยังเหลือการก่อสร้างที่ยังไม่ดำเนินการอีกจำนวน 61 หลัง คิดเป็นงานก่อสร้างได้เพียงร้อยละ 12 ของงานทั้งหมด จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่าผู้ฟ้องคดีไม่สามารถทำงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีสิทธิตามสัญญา ข้อ 6 วรรคหนึ่ง ที่จะบอกเลิกสัญญาและจ้างผู้รับจ้างรายใหม่เข้าทำงานแทนผู้ฟ้องคดีได้
ส่วนการที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างอาคารบางแห่ง หรือส่งมอบพื้นที่ให้ล่าช้า หรือมีเหตุการณ์ประท้วงคัดค้านของประชาชนจนไม่สามารถก่อสร้างได้ หากมีจริงตามที่อ้าง ก็เป็นเพียงเหตุที่ทำให้ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิที่จะขอขยายระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญา หรือมีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายหรือค่าสินไหมทดแทนจากผู้ถูกฟ้องคดีเท่านั้น
แต่ไม่มีผลกระทบต่อสิทธิในการบอกเลิกสัญญาของผู้ถูกฟ้องคดี เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว จึงต้องยอมให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งคือผู้ฟ้องคดีกลับคืนสู่สถานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 โดยต้องชดใช้ค่าการงานในส่วนที่ทำ คือ ค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 13 หลัง รวม 16 งวด เป็นเงิน 15,689,617 บาท และค่าการก่อสร้างที่ผู้ฟ้องคดีทำไว้บางส่วน แต่ยังไม่ได้ส่งมอบงาน เป็นเงิน 81,280,816 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 96,970,433 บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี
สำหรับค่าวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างซึ่งผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้จัดเตรียมไว้ยังสถานที่ก่อสร้างนั้น เมื่อสัญญาไม่ได้กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีรับผิดในค่าวัสดุดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธินำวัสดุกลับคืนไป และผู้ถูกฟ้องคดีก็ไม่ต้องชดใช้ค่าวัสดุที่เหลือนั้น เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องมีการปฏิบัติตามสัญญาต่อไปผู้ฟ้องคดีพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญา ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องคืนหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยไม่มีดอกเบี้ย ตามสัญญา ข้อ 3 วรรคสอง
สำหรับหนังสือค้ำประกัน (การชำระเงินล่วงหน้า) ของธนาคารออมสิน สาขาประตูช้างเผือก จำนวน 17 ฉบับ เป็นเงิน 877,200,000 บาทนั้น เมื่อได้หักเงินค่าจ้างล่วงหน้าไว้บางส่วนแล้ว เงินค่าจ้างล่วงหน้าที่เหลือยังเกินกว่าจำนวนเงินที่ผู้รับจ้างจะได้รับ ผู้ฟ้องคดีจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี เมื่อผู้ฟ้องคดียังไม่คืนเงินดังกล่าว
ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีสิทธิยึดหนังสือค้ำประกันของธนาคารออมสินไว้เป็นหลักประกันเพื่อให้ผู้ฟ้องคดีคืนเงินค่าจ้างล่วงหน้าจนครบจำนวน ส่วนค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันนั้น เป็นค่าใช้จ่ายตามปกติในการดำเนินงานที่ผู้ฟ้องคดีต้องจ่าย ไม่ว่าจะมีการบอกเลิกสัญญาหรือไม่ก็ตาม ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิเรียกให้ผู้ถูกฟ้องคดีรับผิดในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ สำหรับค่าปรับนั้น เมื่อผู้ถูกฟ้องคดียังมิได้คิดค่าปรับจากค่าจ้างและยังไม่มีการนำคดีมาฟ้องแย้ง ผู้ฟ้องคดีจึงยังไม่มีสิทธิฟ้องคดีในข้อหานี้ต่อศาลปกครอง
สำหรับคำขอให้ศาลสั่งห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีขึ้นบัญชีผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ทิ้งงานนั้น เห็นว่า คำสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2543) ข้อ 1 (4) ออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อยังไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ทิ้งงาน จึงยังไม่มีการกระทำหรือคำสั่งทางปกครองที่ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะมีสิทธิฟ้องคดีในข้อหานี้ต่อศาลปกครอง
สำหรับค่าธรรมเนียมในการยื่นซองประมูลราคาในการเข้าดำเนินการก่อสร้างตามสัญญา ค่าธรรมเนียมออกหนังสือค้ำประกันการก่อสร้างตามสัญญา ค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันชำระเงินล่วงหน้า ค่าธรรมเนียมเปิดใช้วงเงินขายลดงาน เป็นค่าใช้จ่ายของผู้ฟ้องคดีที่เกิดจากการเข้าทำสัญญากับทางราชการอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีการเลิกสัญญานี้หรือไม่ จึงไม่ได้เป็นผลมาจากความล่าช้าของผู้ถูกฟ้องคดีหรือจากการบอกเลิกสัญญาที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะต้องรับผิด
ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารงานโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจนั้น ก็เป็นผลมาจากการก่อสร้างล่าช้าของผู้ฟ้องคดีเอง จนกระทั่งมีการบอกเลิกสัญญา จึงไม่ใช่ความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีจะมีสิทธิเรียกร้อง สำหรับผลกำไรจากการดำเนินการตามสัญญาแล้วเสร็จ เป็นเงิ น500,000,000 บาทนั้น ก็เป็นเพียงการคาดคะเนที่ไม่อาจคำนวณได้อย่างแน่นอน ประกอบกับกำไรนั้นเป็นค่าตอบแทนที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วน แต่เมื่อคดีนี้ยังไม่ได้มีการก่อสร้างครบถ้วนตามสัญญาเนื่องจากได้มีการบอกเลิกสัญญาเพราะความผิดของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิได้รับผลกำไรดังกล่าว
ศาลจึงพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินเป็นค่าก่อสร้างอาคารรวมเป็นเงิน 96,970,433 บาท โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด และคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามส่วนของการชนะคดี
ให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนหนังสือค้ำประกัน ธนาคารออมสิน สาขาประตูช้างเผือก เลขที่ 3408-005/2554 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2554 จำนวน 292,400,000 บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี
ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ที่สำนักข่าวของเรา ได้นำเสนอไปนั้น คือรายละเอียดของการฟ้อง และคำตัดสินของศาล ซึ่งฝ่ายบริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์แอนด์คอนสตรัคชั่น มีความเห็นแย้งในคำพิพากษานั้น จึงยื่นอุทธรณ์และขอให้พิจารณาใหม่ดังนี้
- ขอให้ชำระค่าก่อสร้างโรงพักทั่วประเทศที่ทาง สตช.ยังค้างชำระอยู่อีก ประมาณ 18 ล้านเศษซึ่งศาลพิพากษาให้ สตช.ชดใช้ 96,970,433 บาท แต่มูลค่าการก่อสร้างที่ยังไม่ได้ส่งมอบงานเป็นเงิน 81,280,816 บาท ซึ่งส่วนต่างที่ยังคงค้างศาลสั่งเพียง 15 ล้านเศษแต่มูลค่าความเสียหายจริงค้างอีก 18 ล้านเศษ
- สตช.เป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อนโดยไม่ส่งมอบพื้นที่ให้ทางบริษัท ไม่ชำระเงินค่าก่อสร้าง ไม่สรุปแบบแปลนการก่อสร้างให้ชัดเจน ฯลฯ
- ค่าเสียหายที่ทาง สตช.ไม่สามารถส่งคืนวัสดุก่อสร้างที่อยู่หน้างานของโรงพักทั่วประเทศให้แก่บริษัท
- ให้คืนหลักประกันในการก่อสร้าง ซึ่งศาลสั่งคือเฉพาะของธนาคารออมสิน สาขาประตูช้างเผือก เลขที่ 3408-005/2554 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2554 จำนวน 292,400,000 บาทแก่บริษัทฯ แต่ยังคงมีหลักประกันในการก่อสร้างอีกจำนวน 877.2 ล้านที่ยังไม่ส่งคืน
- ขอให้ทาง สตช.งดขึ้นบัญชีรายชื่อของบริษัทเป็นผู้ทิ้งงานของทางราชการ
ลิ้งค์ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รพิรัตน์ สุขแยง รายงาน
สำนักข่าว CNX NEWS เจาะข่าว ตรงใจคุณ