วันเสาร์, 4 พฤษภาคม 2567

ถึงเวลา สว.60 ยังแจ๋วรัฐฯหนุน บ.เอกชนจ้างทำงาน

07 มี.ค. 2017
275
Spread the love

scoop

สกู๊ปพิเศษ CNX NEWS

ถึงเวลา สว.60 ยังแจ๋วรัฐฯหนุน บ.เอกชนจ้างทำงาน

      

ท่านผู้อ่านครับ จากสถานการณ์ที่ประเทศไทย กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเพราะสุขภาพอนามัยความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้คนมีอายุยืนหรือตายช้ามากขึ้น ไม่สมดุลกับอัตราการเกิดที่น้อยลง คนสูงอายุหรือที่เรียกกันว่า  คนแก่ คนชรา  หรือ สว.บ้าง แล้วแต่จะเรียก สังคมผู้สูงอายุ คือในไม่ช้านี้เราจะมีประชากรอายุเกิน 60 ปี ถึง 20 % ของประชากรทั้งประเทศ ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาและเตรียมการรับมือหลายอย่าง

อย่างหนึ่งที่ทำกันอยู่แล้ว คือการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพในอัตราเดือนละ 600 700 800 900 ไปจนถึง1,000 บาทตามอายุคือ 60ปี 70ปี 80ปี 90ปีและ 100ปี ซึ่งรัฐบาลก็มองว่ายังน้อยมาก คนชรายากจนได้รับแล้วก็ไม่พอใช้ ซึ่งก็กำลังรณรงค์กันอยู่หลายทาง เช่นกำลังขอร้องให้คนแก่รวยๆฐานะดี สละสิทธิ์ไม่รับเบี้ยยังชีพ เพื่อเอาเงินไปชดเชยให้คนจนจริงๆหรือจะขึ้นภาษีบาป พวกเหล้า พวกเบียร์ หาเงินไปเพิ่มเงินเดือนให้คนแก่ เป็นต้น

แต่เรื่องที่พูดกันมากและเห็นผลเร็วคือการจูงใจภาคธุรกิจให้เกิดการจ้างแรงงานผู้สูงอายุหรือการจ้างคนแก่มาทำงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับคนหนุ่มสาวนั่นเองครับ

เรื่องนี้ มีรายงานมาแล้วว่า คุณกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศก ท่านกล่าวว่า“แนวทางย่อๆคือให้บริษัทเอกชนจ้างงานผู้สูงอายุเริ่มที่ 60 ปีขึ้นไป โดยนับเอาจากวันเกิดตามหน้าบัตรประชาชน และสถานประกอบการที่จ้างก็สามารถนำเอาค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่มีหลักการว่าจำนวนการจ้างงานนั้นจะต้องไม่เกิน 10% ของจำนวนแรงงานทั้งหมด อาทิจำนวนพนักงานทั้งบริษัทมี 200 คน จะจ้างผู้สูงวัยที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปได้ไม่เกิน 20 คน นอกจากนี้ยังกำหนดค่าจ้างที่จ้างผู้สูงอายุรวมกัน จะต้องไม่เกิน 10 % ของรายจ่ายค่าจ้างในบริษัทนั้น ๆ

สำหรับอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างผู้สูงอายุ แต่ละบริษัทจะมีอัตรากำหนดแต่ต้องไม่ตายตัว ขณะนี้รอข้อมูลจากกระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ( พม.) ว่าอัตราค่าจ้างผู้สูงอายุนั้นเท่าไรถึงจะเหมาะสม แต่ได้มีการกำหนดว่าต้องไม่เกิน 15,000 บาท ยกเว้นกรณีอาชีพเฉพาะที่แต่ละบริษัทจะกำหนดไม่เท่ากัน จากตัวเลข ปัจจุบันคนที่อยู่ในภาคแรงงานทั้งประเทศมี 40 ล้านคน และเป็นผู้สูงอายุประมาณ10 ล้านคน แต่หากใช้ฐานการจ้างงานที่ไม่เกิน 10% ของจำนวนลูกจ้างรวมจะสามารถจ้างงานผู้สูงอายุได้ถึงปีละ 4 ล้านคน

คุณกฤษฎา บอกอีกว่า ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนไทยเริ่มจ้างผู้สูงอายุเข้าทำงานบ้างแล้วในบางตำแหน่ง เช่นภาคธุรกิจบริการ โรงแรม,ภัตตาคาร และภาคการผลิต เป็นต้น

นั่นเป็นเรื่องภาคนโยบาย ที่ทำงานกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดขึ้นมาคือ ได้มีการเอาจริงเอาจังกันมากขึ้น เพราะขณะนี้กฏหมายรองรับในเรื่องการสนับสนุนให้เอกชนจ้างคนแก่ทำงานด้วยมาตรการลดภาษีนิติบุคคลเป็นรุปธรรมชัดเจนแล้วครับ

ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 มี.ค.2560 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 639)พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (วันที่ 3 มี.ค.2560) สาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งรับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเข้าทำงาน เพื่อส่งเสริมให้มีการจ้าง แรงงานผู้สูงอายุดังกล่าวเข้าทำงาน มีจำนวน 5 มาตรา มาตรา 3 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งรับผู้สูงอายุที่มีอายุหกสิบปีขึ้นไปเข้าทำงานสำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้สูงอายุ เฉพาะรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้สูงอายุในส่วนที่ไม่เกินร้อยละสิบของจำนวนลูกจ้างในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด สำหรับในกรณีที่ผู้สูงอายุทำงานในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหลายแห่งในเวลาเดียวกัน ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่รับผู้สูงอายุเข้าทำงานก่อนได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามวรรคหนึ่งการจ้างผู้สูงอายุตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึงกรณีการจ้างผู้สูงอายุที่มีรายจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างในแต่ละเดือนเกินกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันบาท

มาตรา 4 ผู้สูงอายุตามมาตรา 3 ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้

(1) เป็นผู้มีสัญชาติไทย

(2) เป็นลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จ้างอยู่ก่อนแล้ว หรือเป็นผู้สูงอายุที่ได้

ขึ้นทะเบียนหางานไว้กับกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน

(3) ไม่เป็นและไม่เคยเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จ้าง

ผู้สูงอายุดังกล่าวหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน

มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ และผู้รับสนองพระราชโองการ คือพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

เป็นอันว่า นโยบายของรัฐบาลนี้ที่สนับสนุนให้เอกชนจ้างคนแก่ทำงานโดยได้รับการลดหย่อนภาษีนิติบุคคลก็เป็นจริงขึ้นมาแล้วตามข่าวนี้ บริษัทเอกชนใดที่จะสนองนโยบายรัฐบาลก็จะได้รับประโยชน์คือ เมื่อจ้างคนแก่ทำงาน ก็เอาอัตราเงินเดือนหรือรายได้ของคนแก่ที่จ่ายไป เอาไปขอลดหย่อนภาษีที่เอกชนจะต้องเสียได้ เอกชนเสียเงินเป็นค้าจ้าง แต่ได้ผลงานของคนแก่ และได้โบนัสคือ ได้ลดหย่อนภาษี คนแก่อายุ 60 ปี ยังมีงานทำ มีรายได้ก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นเรื่องดีๆที่ผมนำมาบอกกล่าวกันวันนี้ครับ.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจออนไลน์/สำนักข่าวอิศรา

อรุณ ช้างขวัญยืน/เรียบเรียง/รายงาน

CNX NEWS เจาะข่าว ตรงใจคุณ