วันอาทิตย์, 19 พฤษภาคม 2567

กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ตำบลแม่แฝกจะเดินทางขอรับความช่วยเหลือกรณีราคาไข่ไก่ตกต่ำ

Spread the love

กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ตำบลแม่แฝก

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2555 เวลา 09.00 น.  ณ  บริเวณหน้าอาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์แม่แฝก และสมาชิกชมรมผู้เลี้ยงไก่เชียงใหม่-ลำพูน จำนวนประมาณ 100 คน เดินทางมาชุมนุมกัน เพื่อเรียกร้อง ให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ตกต่ำ และเร่งให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ จากกรณีดังกล่าว โดยมี น.ส.ปานจิตต์ พิศวงพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ลงมารับหนังสือร้องเรียนจาก กลุ่มเกษตรกร

นายอาทิตย์ ทองออม ประธานกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์แม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ที่มาชุมนุมเรียกร้องครั้งนี้ เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากราคาไข่หน้าฟาร์ม ในปัจจุบันที่ต่ำกว่าราคาต้นทุน โดยราคาไข่คละขนาดที่ขายในปัจจุบันอยู่ที่ฟองละ 1.80-1.90 บาท แต่ต้นทุนของเกษตรกรนั้นสูงถึงฟองละ 2.60 บาท โดยต้นทุนที่สูงนี้มาจากราคาอาหารสัตว์ และวัตถุดิบที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ เช่น ค่าไฟฟ้าในระบบฟาร์มปิด เป็นต้น ทั้งนี้กลุ่มเกษตรกรได้ยื่นข้อเรียกร้องคือ ขอให้รัฐออกมาตรการปรับขึ้นราคาไข่ไก่ ช่วยลดราคาอาหารสัตว์ และวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารสัตว์ ให้มีราคาถูกลง จัดมาตรการคิดค่าไฟฟ้าเป็นหน่วยพิเศษสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงไข่ไก่รายเล็ก

นอกจากนี้ ยังขอให้ภาครัฐพักชำระหนี้ ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไข่ไก่รายเล็ก สนับสนุน และจัดหาแหล่งเงินทุนระยะยาว และประกันราคาไข่คละหน้าฟาร์ม หากสถานการณ์ราคาตกต่ำ รวมทั้งชดเชยการขาดทุนจากการขายไข่ไก่ และการปลดไก่ยืนกรง โดยเกษตรกรระบุด้วยว่า ราคาที่เห็นว่าเหมาะสมควรจะอยู่ที่ 2.50-2.80 บาทต่อฟอง

นายปรีชา สุขบุญพันธ์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงไก่เชียงใหม่-ลำพูน และอุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาคราคาไข่ตกต่ำ เป็นผลต่อเนื่อง จากการนำเข้าพันธุ์ไก่ที่รัฐบาลยุค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้อนุมัติไว้ ซึ่งทำให้ปริมาณไก่ไข่ ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และส่งผลให้ปริมาณไข่ ในท้องตลาดสูงจนราคาตกต่ำ แม้ว่าจะมีการส่งออกไปชายในต่างประเทศแต่ราคาที่ขายได้ก็ยังถูกกกว่าราคาต้นทุน ดังนั้น กลุ่มเกษตรกรเห็นว่า รัฐบาลจำเป็นจะต้องเข้ามาให้การช่วยเหลือโดยเร่งด่วน ทั้งในการควบคุมปริมาณพันธุ์ไก่ไข่ และการให้ความช่วยเหลือในด้านอื่นๆ เช่น การลดราคาอาหารสัตว์ หรือการชดเชยส่วนต่างราคาให้กับเกษตรกร เพราะหากไม่มีการช่วยเหลือแล้ว ในระยะยาวเกษตรกรรายย่อย จะไม่สามารถแข่งขันในท้องตลาดได้ และจะเหลือแต่เพียงผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น.

ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.tnews.co.th/html/picture/tnews_1278324712_1445.jpg

 

สำนักข่าว
Cnxnews เจาะข่าว ตรงใจคุณ รายงาน