เล่าเรื่องจริงๆของ กัญชา กัญชา กัญชา
โปรดใช้วิจารณญาณอย่างสุดๆ
เรียนให้ท่านทราบว่า เรื่องนี้ เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก เขารายงานผ่านสำนักข่าวต่างประเทศมาอีกทีนะครับ เห็นว่าน่าสนใจก็เลยเรียบเรียงมาให้ท่านได้ทราบ ตามธรรมชาติของเรา ที่จะต้องให้อาหารสมองท่านผู้อ่านเสมอๆครับ..เชิญครับ
กัญชาอยู่กับมนุษยชาติมานานแสนนานแล้ว ในไซบีเรียมีผู้พบเมล็ดกัญชาที่ไหม้เป็นเถ้าถ่านอยู่ภายในเนินฝังศพอายุ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวจีนใช้กัญชาเป็นยามานานหลายพันปี กัญชาหยั่งรากลึกอยู่ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯเช่นกัน ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายโดยมักพบในทิงเจอร์และสารสกัดต่างๆ
จากนั้น ท่ามกลางกระแสต่อต้านกัญชาที่โหมแรง กัญชาก็ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ และการวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ทางการแพทย์ก็หยุดชะงักลงเกือบตลอด 70 ปีต่อมา
ในปี 1970 รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ทำให้การศึกษากัญชายิ่งยากขึ้นไปอีกด้วยการกำหนดให้กัญชาเป็นยาประเภท 1 หรือสารอันตรายที่ไม่มีประโยชน์ทางการแพทย์ และมีโอกาสเสพติดสูงประเภทเดียวกับเฮโรอีน ดังนั้นหากว่ากันตามตัวบทกฎหมายแล้ว ในสหรัฐฯ คนส่วนใหญ่ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกัญชาจึงถือเป็นอาชญากร
แต่ปัจจุบัน เมื่อมีผู้นำกัญชาไปใช้เป็นยารักษาโรคมากขึ้น วิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องนี้จึงเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง เรากำลังค้นพบความน่าประหลาดใจหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในพืชซึ่งเคยเป็นสิ่งต้องห้าม
ในรัฐ 23 รัฐของสหรัฐฯ และดิสตริกต์ออฟโคลัมเบีย กัญชาสามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์เป็นบางกรณีอย่างถูกกฎหมาย และชาวอเมริกันส่วนใหญ่สนับสนุนให้การเสพกกัญชาเพื่อการหย่อนใจเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ขณะที่หลายประเทศกำลังทบทวนกฎหมายเกี่ยวกับกัญชาเช่นกัน ในอุรุกวัย มีการลงคะแนนเสียงให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โปรตุเกสแก้กฎหมายให้การครอบครองกัญชาเพื่อเสพเองไม่เป็นความผิดทางอาญา อิสราเอล แคนาดาและเนเธอร์แลนด์มีโครงการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศยังออกกฎหมายอนุญาตให้ครอบครองกัญชาได้
กัญชาอยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น การสูบกัญชาอาจทำให้คนหัวเราะโดยไม่มีสาเหตุชั่วขณะ จ้องมองของพื้นๆใกล้ตัว (อย่างรองเท้า) หลงลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองวินาทีก่อน และอยากกินขนมขบเคี้ยว
แม้ว่ายังไม่เคยมีรายงานการเสียชีวิตจากการเสพเกินขนาด แต่กัญชาโดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ออกฤทธิ์แรงในปัจจุบันยังถือว่าเป็นยาแรง และในบางกรณีก็อาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้เช่นกัน
แต่สำหรับหลายคน กัญชาเปรียบเสมือนยาบรรเทาความเจ็บปวด ช่วยให้นอนหลับ กระตุ้นความอยากอาหาร อีกทั้งช่วยทุเลาเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ผู้นิยมชมชอบกัญชากล่าวว่า กัญชาช่วยให้คลายเครียด เชื่อกันว่ากัญชายังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น เป็นยาระงับปวด ยาแก้อาเจียน ยาขยายหลอดลม และยาแก้อักเสบ นักวิทยาศาสตร์บางรายยืนยันว่าสารประกอบบางอย่างในพืชชนิดนี้อาจมีส่วนช่วยในกระบวนการทำงานบางอย่างของร่างกายที่จำเป็นต่อชีวิต เช่น ป้องกันการบาดเจ็บทางสมอง กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วย “ลบความทรงจำ” หลังเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆได้
ความเร่งรีบในการทำให้กัญชาเป็นที่ยอมรับของสาธารณชน การเก็บภาษีและออกกฎระเบียบควบคุม ตลอดจนการทำให้กัญช้าเป็นสิ่งถูกกฎหมายและกลายเป็นสินค้า ก่อให้ให้เกิดคำถามสำคัญตามมาว่า พืชชนิดนี้มีอะไรดีซ่อนอยู่ กัญชาส่งผลต่อร่างกายและสมองอย่างไร สารเคมีในกัญชาอาจบอกอะไรเราได้บ้างเกี่ยวกับการทำงานของระบบประสาท และสารเคมีเหล่านั้นจะนำเราไปสู่ตัวยาชนิดใหม่ๆได้หรือไม่
หากกัญชามีอะไรบางอย่างบอกเรา สิ่งนั้นคืออะไรกันแน่
ย้อนหลังไปเมื่อปี 1963 นักเคมีอินทรีย์หนุ่มชาวอิสราเอลชื่อ ราฟาเอล เมคูลัม จากสถาบันวิทยาศาสตร์ไวซ์แมนนอกเมืองเทลอาวีฟ ตัดสินใจศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของพืชชนิดนี้ เขานึกประหลาดใจที่ว่า ทั้งๆที่เราสกัดมอร์ฟีนได้จากฝิ่นตั้งแต่ปี 1805 และสกัดโคเคนจากใบโคคาได้ในอีก 50 ปีต่อมา แต่นักวิทยาศาสตร์กลับไม่รู้เลยว่าอะไรคือองค์ประกอบสำคัญที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในกัญชา “มันก็แค่พืชชนิดหนึ่ง” เมคูลัมซึ่งตอนนี้อายุ 84 ปี บอกและเสริมว่า “เหมือนอะไรที่ยุ่งเหยิงมีสารประกอบที่ไม่สามารถระบุได้อยู่หลายอย่าง”
เมคูลัมจึงติดต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติอิสราเอลเพื่อขอกัญชาเลบานอน 5 กิโลกรัมซึ่งเป็นของกลางที่ยึดมาได้ เขากับทีมนักวิจัยสกัดและบางครั้งก็สังเคราะห์สารประกอบออกมาหลายชุด เขาฉีดสารแต่ละชุดให้ลิงวอก และพบว่ามีเพียงชุดเดียวที่ออกฤทธิ์สังเกตเห็นได้ เมื่อได้รับการฉีดสารประกอบนี้ ลิงวอกซึ่งปกติค่อนข้างเกรี้ยกราดกลับสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
การทดสอบเพิ่มเติมนำไปสู่การค้นพบสิ่งที่โลกรู้จักดีในปัจจุบัน กล่าวคือ สารประกอบที่ว่านี้เป็นสารออกฤทธิ์หลัก ในกัญชาที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ เป็นสิ่งที่ทำให้ใครต่อใครเคลิบเคลิ้ม เมคูลัมและคณะค้นพบเตตราไฮโดรแคนนาบินอล หรือทีเอชซี (tetrahydrocannabinol: THC) และยังเผยโครงสร้างทางเคมีของแคนนาบิไดออลหรือซีบีดี (cannabidiol: CBD) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างในกัญชาซึ่งอาจนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้หลายอย่างโดยไม่มีผลทางจิตประสาทต่อมนุษย์
อิสราเอลเป็นประเทศที่ก้าวหน้าเรื่องการศึกษากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เมคูลัมมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งสาขาวิชานี้ และเขาก็ภูมิใจกับผลลัพธ์ที่ได้ ผู้ป่วยมากกว่า 20,000 รายได้รับใบอนุญาตใช้กัญชาเพื่อการรักษาภาวะบางอย่าง เช่น ต้อหิน โรคโครห์น (Crohn’s diseas) หรือลำไส้เล็กอุดตันบางส่วน การอักเสบ อาการเบื่ออาหาร กลุ่มอาการทูเรตต์ (Tourette’s syndrome) และโรคหืดแต่ถึงกระนั้น เมคูลัมไม่สู้จะเห็นด้วยกับการทำให้การเสพกัญชาเพื่อการหย่อนใจกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย เขาไม่คิด ว่าคนที่มีกัญชาในครอบครองควรติดคุก แต่ก็ยืนยันว่า กัญชา “ไม่ใช่สารที่ไร้อันตราย” โดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาว เขาอ้างผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การใช้กัญชาสายพันธุ์ที่มีสารทีเอชซีในปริมาณสูงเป็นเวลานานติดต่อกันส่งผลต่อพัฒนาการของสมองที่กำลังเจริญเติบโต และเสริมว่า กัญชากระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวลขั้นรุนแรงได้ในบางคน เมคูลัมยังกล่าวถึงผลการศึกษาหลายชิ้นที่ระบุว่า กัญชาอาจเหนี่ยวนำให้เกิดโรคจิตเภทในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคนี้
ถ้าเลือกได้ เมคูลัมคงอยากเห็นวัฒนธรรมการเสพกัญชาเพื่อการหย่อนใจหลีกทางให้กับการใช้กัญชาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในทางการแพทย์ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดและการวิจัยอย่างต่อเนื่อง
“ตอนนี้คนที่ใช้กัญชายังไม่รู้ว่าพวกเขาได้รับสารอะไรเข้าไปบ้าง ถ้าจะให้การใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้ผลอย่างที่ต้องการ เราต้องกำหนดปริมาณที่เหมาะสม ถ้าคุณวัดไม่ได้ ก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ”
ไม่มีทัศนะ ไม่มีคำวิจารณ์ โปรดใช้วิจารณญาณของท่าน นำเสนอเพื่อประเทืองปัญญาแค่นั้นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลของ เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก
อรุณ ช้างขวัญยืน.เรียบเรียงและรายงาน
สำนักข่าว CNX NEWS เจาะข่าว ตรงใจคุณ