วันศุกร์, 26 เมษายน 2567

แพทย์ มช. คัดเลือกแม่ตัวอย่างและแม่ผู้เสียสละ ประจำปี 2557

08 ส.ค. 2014
513
Spread the love

แพทย์ มช. คัดเลือกแม่ตัวอย่างและแม่ผู้เสียสละ ประจำปี 2557

 

 g1

ในโอกาสวันแม่แห่งชาติ

คณะแพทย์ มช.คัดเลือกแม่ตัวอย่างและแม่ผู้เสียสละ

 

เพื่อเป็นการเทิดทูนและเผยแพร่พระเกียรติคุณ  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชชินีนาถผู้ทรงเป็นแม่แห่งชาติ  คณะแพทยศาสตร์ มช.ได้จัดกิจกรรมประกวดแม่ตัวอย่างและแม่ผู้เสียสละ  ประจำปี 2557  จากบุคลากรภายในและบุคลากรภายนอกผลการคัดเลือกดังนี้

 

นางสุพรรณี รอบคอบ แม่ตัวอย่างของคณะแพทยศาสตร์ มช. สังกัดงานเวชภัณฑ์ปลอดเชื้อ โรงพยาบาลมหาราชนครเชยงใหม่ อายุ 53 ปี  มีบุตชชาย 1 คน   ชื่อนายกิตติวินท์  รอบคอบ ปัจจุบันกำลังเรียนชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์สถานศึกษา มหาวิทยาลัยเซาท์เวทส์เทินส์  ประเทศฟิลิปปินส์  กล่าวว่า “ ลูกชายคลอดก่อนกำหนดเมื่ออายุครรภ์ 25 สัปดาห์ 3 วัน น้ำหนักแรกคลอด 830 กรัม    หลังคลอดลูกต้องใช้ท่อช่วยหายใจอยู่ในตู้อบ ประมาณ 3 เดือน แม่ต้องปั๊มน้ำนมใส่ขวดส่งให้ลูกทุกวัน พอได้กลับไปพักฟื้นหลังคลอดที่บ้านก็จะปั๊มน้ำนมใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็น  และนำมาส่งให้ลูกวันเว้นวันจนครบสองเดือน  หลังคลอด 15 วัน ลูกได้รับการเติมเลือดเนื่องจากซีด และได้รับการตรวจตาพบมีภาวะเส้นเลือดงอกผิดปกติในจอประสาทตา  แพทย์รักษาโดยการจี้ด้วยความเย็นเพื่อไม่ไห้ตาบอด  แต่สายตาจะสั้นมากข้างซ้ายสั้น 2,500 ข้างขาวสั้น 2,300 เรียกว่ามีความพิการทางสายตาไม่มีวิธีการรักษาในสมัยนั้น  ลูกต้องสวมแว่นซึ่งหนามากเพื่อช่วยในการมองเห็น ขณะนั้นพ่อรับราชการทหารประจำอยู่ค่ายจักรพงษ์ จ.ปราจีนบุรี   จะมาเยี่ยมครอบครัวได้ช่วงที่มีวันหยุดยาว  เมื่อลูกอายุได้ 7 เดือน  พ่อได้รับเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติไปประจำที่ประเทศอิรัก 1 ปี  ซึ่งไม่มีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้าน  แม่ต้องทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและเม่  และเพื่อน หลังจากพ่อจบภารกิจก็ไปประจำการอยู่จังหวัดปราจีนบุรี  ซึ่งก็ยังไกลครอบครัวเหมือนเดิม  ตอนออกจากโรงพยาบาล แพทย์ผู้ดูแลให้ข้อมูลว่าเด็กคลอดก่อนกำหนด  ลูกจะมีสมาธิสั้น  อารมณ์แปรปรวนง่าย  สุขภาพอาจไม่แข็งแรง  พอลูกอายุประมาณ 3 ขวบ แม่จะพาลูกไปวัดฝึกให้นั่งสมาธิ  ทำให้จิตใจอ่อนโยนอารมณ์เย็น  พอลูกอายุประมาณ 9 ขวบ  ให้ลูกเรียนดนตรีพื้นเมืองเพื่อให้มีสมาธิและช่วยให้ผ่อนคลาย  ช่วงที่ลูกเข้าเรียนชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมปีที่ 6 เมื่อต้องเข้าเวรบ่ายกลับดึกตอนเช้า จะเตรียมอาหารให้ลูกและสอนลูกทำการบ้านก่อนพาไปโรงเรียน กลับจากโรงเรียนจะให้ลูกอ่านหนังสือทบทวนและแม่จะสอนซ้ำให้อีกครั้ง เมื่อลูกเรียนชั้นม.5 การเรียนในห้องของลูกไม่ทันเพื่อน  จึงให้ลูกเรียนพิเศษ และพาลูกสำรวจเส้นทาง สถานที่ต่างๆ เส้นทางขึ้นรถประจำทาง เผื่อว่าแม่ติดธุระจะได้นั่งรถกลับเองได้ หลังจากลูกเรียนจบชั้นม.6 ลูกเลือกเรียนคณะทัศนมาตรศาสตร์ซึ่งเป็นการเรียนที่เกี่ยวกับสายตา เปิดสอนที่ ม.รังสิต ก็ให้โอกาสเข้าเรียนทั้งที่สายตาผิกปกติ  เมื่อลูกเรียนชั้นปี 2 แพทย์รพ.มหาราชนครเชียงใหม่แนะนำให้ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาซึ่งจะทำให้การมองเห็นดีขึ้น  ลูกเข้ารับการผ่าตัดถึง 4 ครั้ง  จากสายตาสั้นมากเปลี่ยนเป็นสายตายาวสวมแว่นสายตาแบบบางขึ้น  ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นสามารถมองเห็นได้  80 เปอร์เซ็น ทำให้มีโอกาสสานความฝันที่เขาอยากเรียนแพทย์ประสบความสำเร็จ เมื่ออาจารย์แพทย์ที่ ม.รังสิต  ซึ่งมองเห็นความมุ่งมั่นใฝ่ฝันของเขาที่อยากเป็นแพทย์  ได้แนะนำให้ไปสอบเข้าเรียนโรงเรียนแพทย์ที่ประเทศฟิลิปปินส์  และเข้าก็ประสบความสำเร็จสามารถสอบเข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ ติด 5 อันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของฟิลิปปินส์ ปัจจุบันลูกเรียนที่มหาวิทยาลัยเซาท์เวทส์เทินส์

หลักในการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคม เน้นความมีมานะ  อดทน  ปฏิบัติตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดี เมื่อมีเวลาหรือมีวันหยุดจะพาลูกออกมาทำกิจกรรมข้างนอกทั้งครอบครัว  พาไปร่วมทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เก็บขยะในสวนสาธารณะ วัด เมื่อมีกิจกรรมก็จะพาลูกไปร่วมกิจกรรมในหมู่บ้านเช่นการปลูกต้นไม้  งานรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ พาเที่ยววันเด็ก  พามาโรงพยาบาลมารู้จักชีวิตของมนุษย์การเกิด แก่  เจ็บ  ตาย  การทำงานของเจ้าหน้าที่  การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ พาไปเที่ยวค่ายทหารดูการใช้ชีวิตแบบลูกผู้ชาย     พบผู้ประกอบอาชีพหลากหลายจะสอนให้เขาพิจารณาดูชีวิตของคนเหล่านั้น คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นคนดีได้  อาชีพคนเรากำหนดได้ถ้ามีความขยัน  อดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค  เราเลือกเส้นทางเดินของชีวิตได้ พ่อแม่ให้ได้แค่กำลังใจ  สนุบสนุนได้ตามกำลังความสามารถที่พอให้ได้เท่านั้น ความภูมิใจในตัวลูก คือ ลูกเป็นคนดีของครอบครัวและสังคม มีความเป็นผู้นำ เชื่อฟังคำสอนอยู่ในโอวาทพ่อแม่ ครูอาจารย์  ตลอดเวลาที่ผ่านมาลูกได้รับเลือกเป็นตัวแทนของ  โรงเรียนนวมินทราชูทิศ  พายัพเข้าถวายรายงานความก้าวหน้ากิจกรรมนักเรียนแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา  สยามบรมราชกุมารี  และถวายเงินเนื่องในวันนวมินทราชูทิศ  5 ภาค  ณ  วังสุโขทัย  กรุงเทพฯ พ.ศ.2552  ,ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของโรงเรียนนวมินทราชูทิศ  พายัพ  ถวายพวงมาลัยดอกไม้ แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา  สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเสร็จเปิดโครงการพระราชดำริภาคเหนือ  ณ  สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี  พ.ศ.2553  , ได้รับเลือกเป็นตัวแทนนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะทัศนมาตรศาสตร์  เข้ารับการประเมินและทดสอบคุณภาพการศึกษาจากจักษุแพทย์  และนักศึกษามาตรศาสตร์ จาก   ม.อินเดียน่า  สหรัฐอเมริกา ,เป็นตัวแทน มหาวิทยาลัยรังสิตเข้าร่วมอบรมการเป็นผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลกปี พศ.2555 และสอบผ่านเข้าเรียนคณะแพทย์มหาวิทยาลัยประเทศฟิลิปปินส์  ซึ่งติด 5 อันดับ ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศฟิลิปปินส์ ”

 

ด้านนางวรรณภา  ไตรรัตน์สหภาพ  แม่ผู้เสียสละท่านที่ 1 อาชีพแม่บ้าน  อายุ 45 ปี    มีบุตร 2 คน

กล่าวว่า ลูกชาย (บุตรคนโต ผู้ป่วย นายถิรวัฒน์  ไตรรัตน์สหภาพ อายุ 17 ปี)  เข้ารับการรักษาตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 จนถึงปัจจุบัน มา Admitted ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ จำนวน 49 ครั้ง ด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ALL) เริ่มรักษาด้วยเคมีบำบัด ตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 (ผู้ป่วยอายุ 14 ปี) ตลอดเวลาที่ผู้ป่วย Admit อยู่ แม่เฝ้าดูแลตลอด ต้องลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ ปัจจุบันผู้ป่วยเรียนอยู่ระดับปวช.ชั้นปีที่ 2 สาขาสถาปัตย์ วิทยาลัยเทคนิคเอเชียเชียงใหม่

การดูแลผู้ป่วยนั้นแม่ต้องเดินทางไป-กลับ ระหว่างจังหวัดลำพูน-จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพ่อมาส่ง เนื่องจากพ่อน้องเบิร์ดมีอาชีพรับเหมาไม่ค่อยอยู่บ้าน จึงเป็นหน้าที่ของแม่ที่ต้องมาเฝ้า บางครั้งน้องเบิร์ดมีภาระเม็ดเลือดขาวต่ำ ต้องนอนในโรงพยาบาลนาน แม่จะไปฝึกทำงานฝีมือ เช่น ร้อยลูกปัด ทำการ์ดอวยพร ร่วมกับญาติผู้ป่วยคนอื่นๆ แล้วรวบรวมไปขาย นำรายได้มาให้ญาติผู้ป่วยรายอื่นๆ ถึงแม้จะกลับไปอยู่บ้าน แม่ก็กลับมาพูดคุยให้กำลังใจ และรับงานฝีมือของญาติผู้ป่วยเท่าที่มีไปขายให้และนำเงินกลับมาให้ญาติผู้ป่วยที่ยัง Admit อยู่เสมอๆ

ช่วงที่น้องเบิร์ดได้รับเคมีบำบัดชนิดเข้มข้น เม็ดเลือดขาวต่ำมาก จนติดเชื้อราที่ปอด (IPA) ช่วงนั้นน้องเบิร์ดทุกข์ทรมานมาก ไข้สูงมีแผลในปาก ได้รับยาต้านเชื้อราชนิดฉีด นาน 2 สัปดาห์ แม่ก็ได้เฝ้าดูแลน้องเบิร์ดซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่น จนผ่านช่วงนี้ไป กลับไปรับประทานยาต้านเชื้อราชนิดเม็ดที่บ้าน และน้องเบิร์ดกลับไปเรียนหนังสือ ก็เริ่มมีผื่นแดงบริเวณใบหน้า ลำคอ แขนทั้ง 2 ข้าง จากการที่ผิวหนังโดนแสงแดด ทำให้ครอบครัวต้องไปรับ-ส่ง ขณะไปโรงเรียนและเปลี่ยนแผนการเรียนที่ไม่มีเรียนวิชาพละศึกษา นอกจากนี้แม่ยังพาน้องเบิร์ดและญาติที่อยู่ในเขตจังหวัดลำพูน ไปทำบุญและปฏิบัติธรรมที่วัด   จนเป็นครอบครัวมังสวิรัติ เมื่อใดที่แม่พามารับยาเคมีบำบัดก็จะบริจาคเงินให้ญาติผู้ป่วยที่ยากจนเพื่อช่วยค่ายังชีพ และได้บริจาคเครื่องกรองน้ำดื่มให้ผู้ป่วย (i-water) เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติได้ดื่มน้ำที่สะอาดเพื่อสุขภาพ

สำหรับเหตุผลที่สมควรเป็นแม่ผู้เสียสละนางวรรณภา ไตรรัตน์สหภาพ เป็นผู้มีความอดทนมาก ไม่ย่อท้อ ไม่เคยบ่นเหนื่อย มีความเสียสละทุ่มเทความรักให้ลูกตลอดเวลา มีจิตเมตตา ช่วยเหลือผู้ที่ลำบากกว่า จึงเป็นแม่ผู้เสียสละอย่างแท้จริง

 

ส่วนนางมลิวัลย์  จอมคำ แม่ผู้เสียสละท่านที่ 2  สังกัดงานการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์   คณะแพทยศาสตร์ มช.  อายุ  58 ปี กล่าวว่า“เมื่อปี  2535 ลูกชายคนโตป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมอง ขนาด 2 เซนติเมตร ขณะนั้นสามีรับราชการครูอยู่ต่างจังหวัด  ต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ในขณะเดียวกันให้ลูก 2 คน ช่วงเวลานั้นลูกชายคนโตได้ทำการผ่าตัดใส่ชั้นท์ (Shunt) เพื่อบรรเทาอาการปวดศรีษะและอาเจียนให้ลูกชาย (ใส่ท่อระบายน้ำจากในสมองลงไปทิ้งที่กระเพาะปัสสาวะ) ส่วนเนื้องอกนั้นไม่สามารถผ่าตัดออกมาได้เพราะอยู่ลึกลงไปในสมอง  แพทย์ส่งไปฉายรังสีรักษา  จำนวน 25 ครั้ง ระหว่างการฉายรังสีลูกมีอาการเบื่ออาหาร ซึมเศร้า  ไม่พูดคุย สีหน้าอมทุกข์ คิดว่าเป็นเนื้องอกในสมองจะต้องตาย  รักษาไม่หาย รอวันตาย  ผมร่วง อายเพื่อไปโรงเรียนเพื่อนล้อว่า “ไอ้หัวลูกสูบ” และชอบมารุมแกล้งกดปุ่มชั้นท์ที่ศรีษะเล่น ใส่หมวกไปโรงเรียนก็ถูกครูทำโทษเพราะผิดระเบียบ เห็นลูกป่วยทั้งกายใจ  แม่เกือบจะทนไม่ไหว  ได้แต่ปลอบลูกให้กำลังใจลูกอดทนสู้ อีกไม่นานถ้าฉายแสงจนครบก็จะหายเป็นปกติ  ผมก็จะงอกขั้นมาใหม่  แม่ได้แต่หาของที่ลูกชอบมาให้แต่ลูกรับประทานได้น้อย ต้องคอยดูแลพูดคุยเอาใจใส่ให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด  กลัวลูกจะคิดสั้น  แต่โชคดีที่ลูกเลี้ยงง่าย  เชื่อฟัง ไม่ต่อต้าน  หัวใจแม่แสนจะเจ็บปวดเมื่อลูกเชื่อฟังทั้งๆที่รู้ว่าลูกทุกข์ทั้งกายใจ  แต่ลูกไม่ยอมปริปากโต้แย้งหรือบ่นให้แม่ทุกข์เพิ่ม เวลาผ่านไป 3-4 ปี อาการซึมเศร้าของลูกชายก็ยังไม่หาย แม้ว่าผลเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์จะบอกว่าเนื้องอกนั้นได้หายไปแล้ว ลูกชายก็ยังเศร้ามีความคิดว่า  ยังไม่หาย   อยู่อย่างรอความตาย แม่พยายามพูดและให้กำลังใจลูกชายลูกก็ยังมีอาการซึมเศร้าอยู่ แม่คิดวิธีปลอบใจกับแพทย์ที่รู้จักกัน นัดแนะโกหกลูกว่าลูกชายหายแล้ว แต่ลูกชายไม่ยอมเชื่อ ลูกไม่รู้หรอกว่าหัวใจแม่นั้นหนาวเหน็บและเจ็บปวดกว่าลูกหลายเท่านัก ทั้งกลัวอาการป่วยของลูกจะกลับมาเป็นซ้ำอีก กลัวลูกจะคิดสั้น  กลัวลูกจะตายจากแม่ไป เพราะแม่ยังไม่ได้ทำหน้าที่ของแม่ได้สมบูรณ์ แม่ได้แต่อัดอั้นใจทำอะไรไม่ได้ แม่ต้องเข้มแข็งเป็นหลักและกำลังใจให้ลูก ได้แต่แอบร้องไห้ในห้องน้ำเพื่อความอัดอั้นใจจะได้คลายลงบ้าง จนกระทั่งลูกชายสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนสูงสุดในห้องเรียน (TOP) ที่ 1 ใน 53 คน ในห้องเรียน วันนั้นเป็นวันแรกที่แม่เห็นลูกชายยิ้มได้แบบที่ออกมาจากใจทั้งสีหน้าและแววตาเป็นครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้เห็นมาเกือบ 4 ปี แม่เข้าไปกอดลูกพร้อมกับบอกลูกด้วยน้ำตาว่า ลูกหายแล้ว  เชื่อแม่หรือยังลูกจากการเป็นเนื้องอกในสมองแล้ว  ลูกตอบกลับแม่ว่าทำไมละครับแม่ ก็ถ้าลูกไม่หายทำไมลูกถึงได้คะแนนสูงสุดในห้อง (Top) เพื่อนๆอีก 52 คน  ในห้องที่ปกติไม่เคยเป็นเนื้องอกในสมองทำไมสู้ลูกไม่ได้ ลูกชายไม่พูด โผเข้ากอดแม่พร้อมกับยิ้มและหัวเราะเบาๆ ตั้งแต่นั้นมาลูกชายคนเดิมของแม่ก็กลับมาร่าเริงแจ่มใส ขยันหมั่นเพียร  ตั้งใจอ่านท่องหนังสือเพิ่มขึ้น จนสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดยไม่ได้เรียนพิเศษ และแอบไปเรียนช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์จนได้ใบประกาศนียบัตร เมื่อสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี ลูกสามารถสอบเข้าเป็นนักวิชาการคอมพิวเตอร์ของม.ราชภัฏเชียงใหม่ได้ และสอบเรียนต่อปริญญาโท  สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา ม.เชียงใหม่ เมื่อสำเร็จการศึกษาก็สมัครทำงานอีกครั้งในตำแหน่งนักวิชาการการกีฬาและนันทนาการ ระดับปริญญาโท  กองพัฒนานักศึกษา ม.ราชภัฏเชียงใหม่ในปัจจุบัน”

 

 

สำนักข่าว CNX NEWS เจาะข่าว ตรงใจคุณ