วันเสาร์, 27 เมษายน 2567

อีซี่บายผวาหนี้เสียรถคันแรกพุ่งครึ่งปีหลัง

05 ก.พ. 2013
235
Spread the love

อีซี่บายผวาหนี้เสียรถคันแรกพุ่งครึ่งปีหลัง

 

อีซี่บายผวาหนี้เน่ารถคันแรกพุ่งครึ่งปีหลัง เล็งลดสัดส่วนลูกหนี้ระดับล่างจับกลุ่มลูกค้าระดับล่าง ขยายฐานลูกค้ารายได้ 10,000 บาท/เดือน

      นายทาเคฮารุ อุเอมัท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทอีซี่บาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2555 สินเชื่อของอีซี่บายขยายตัวได้ 7% หรือเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาท จากยอดสินเชื่อคงค้างที่มีประมาณ 30,000 ล้านบาท แต่ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายสินเชื่อขยายตัวเพียง 6% ต่ำกว่าปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากมองว่าปีนี้ไม่ใช่ปีที่ดีของการขยายสินเชื่อคุณภาพ เพราะตลาดสินเชื่อจะแย่ลงจากผลกระทบของโครงการรถคันแรกที่เชื่อว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณหนี้เสียในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

      “ปีนี้คงไม่ใช่ปีที่จะทำให้สินเชื่อโตได้เยอะ เราต้องระมัดระวัง แม้ว่าในขณะนี้คุณภาพสินเชื่อของเรายังดี และมีเอ็นพีแอลในระดับต่ำกว่าระดับ 2% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม แต่เมื่อเราประมาณการณ์ว่าผู้ให้สินเชื่อรายอื่นจะแย่ลง ดังนั้นเราต้องไม่แย่ตาม ซึ่งยอมรับว่าในปีนี้อาจเห็นเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นกว่าที่ตั้งไว้ แต่บริษัทจะพยายามควบคุมระดับเอ็นพีแอลให้ต่ำกว่า 2% ต่อไป โดยกลยุทธ์ถัดไปจะหันมาโฟกัสกลุ่มลูกค้าระดับบนมากขึ้น”

      นายทาเคฮารุ ยังกล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมายอดซื้อจอดรถยนต์คันแรกบางส่วนยังไม่ได้ส่งมอบ แต่จะมีการส่งมอบในปีนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะมีความต้องการซื้ออุปกรณ์ตกแต่งรถเพิ่มเติม และเริ่มจ่ายสินเชื่อเช่าซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง แต่เมื่อถึงขณะนั้นต้องติดตามว่าจะมีความสามารถในการชำระหนี้เป็นอย่างไร

      นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมายอดขายรถยนต์เพิ่มสูงมาก ทำให้คาดว่าในปีนี้ตลาดรถยนต์จะชะลอตัวลง ดังนั้นในปีนี้จะเห็นผู้ผลิตรถยนต์เร่งผลิตรถเพื่อส่งมอบตามคำสั่งซื้อในปีที่ผ่านมา แต่การชะลอตัวของยอดซื้อรถยนต์ในปีนี้จะทำให้กำลังการผลิตรถยนต์ในปี 2557 มีเหลือมาก และเกิดปัญหาการว่างงานในภาคผลิตเพิ่มขึ้นจะมาส่งมอบปีนี้ ปีนี้จึงมียอดขายลด

      “เมื่อต้องจ่ายจริงอาจทีเซอร์ไพรส์ว่าต้องจ่ายหนี้แล้ว และหากไม่พอคงต้องกู้อีซี่บายเพิ่ม แม้ครบ1ปี ถึงจะได้ภาษีคืนแต่การจ่ายจะมีสักกี่รายที่สามารถจ่ายได้ และในปีหน้าอาจเห็นการจ้างงานลดลงได้หากยอดขายรถในปีนี้หดตัวลง”

      ทั้ง นี้ฐานลูกค้าของบริษัทต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 7,000 บาทขึ้นไป แต่การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้แนวโน้มที่ฐานรายได้ของลูกค้าจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 7,000 บาทต่อเดือนมาอยู่ที่ 9,000 บาทต่อเดือนในเร็ว ๆนี้ อย่างไรก็ตามโดยเฉลี่ยแล้วลูกค้าของบริษัทจะมีรายได้ที่ระดับ 13,000 บาทต่อเดือน เนื่องจากกลุ่มผู้มีรายได้ 7,000 บาทมักจะไม่ผ่านเกณฑ์การให้สินเชื่อที่ตั้งไว้ ซึ่งกลยุทธ์ของบริษัทในปีนี้จะไม่เน้นการขยายฐานผู้มีรายได้ต่ำ โดยในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการปรับฐานรายได้ขั้นต่ำลูกค้าขึ้นมาอยู่ที่ 10,000 บาท 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ขอบคุณภาพและข่าว http://www.thaifinbiz.com/bank_news.php?action=news&tab=1&news_id=2358

สำนักข่าว

cnx news เจาะข่าว ตรงใจคุณ รายงาน