วันศุกร์, 26 เมษายน 2567

สกู๊ปพิเศษCNX เมื่อน้ำตาลเริ่มไม่หวาน ฟรุกโตสไซรัปก็ตีปีก แล้วคนก็จะอ้วน อ้วน และอ้วน

03 เม.ย. 2015
251
Spread the love

สกู๊ปพิเศษCNX เมื่อน้ำตาลเริ่มไม่หวาน ฟรุกโตสไซรัปก็ตีปีก แล้วคนก็จะอ้วน อ้วน และอ้วน

scoop

เวลาทองของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีรสหวานทั้งหลายคือฤดูร้อนแบบนี้ แหล่ะครับ เพราะมีการสร้างค่านิยมให้ผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ หวานๆ เพื่อคลายร้อน ตามท้องตลาดทั่วไปจึงเห็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มรสหวานมากมายหลายยี่ห้อ ชิงชัย ยื้อแย่ง แข่งขันกันอย่างดุเดือด คิดค้นโปรโมชั่นออกมาดึงดูดผู้บริโภคหลากหลายรูปแบบ

มูลค่าทางการตลาดของเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์มีตัวเลขว่ามีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาทเชียวนะครับ

และในจำนวนนี้เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมน้ำตาลมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 1.8 แสนล้านบาท

 ถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่ามหาศาลมาก

แต่ขณะเดียวกัน เครื่องดื่มประเภทนี้กำลังกัดกร่อนสุขภาพของคนไทย เพราะความหวานจากน้ำตาลที่เป็นส่วนผสมสำคัญของเครื่องดื่มเหล่านี้

ยกตัวอย่าง เช่น ชาเขียวพร้อมดื่ม ในหนึ่งขวดมีน้ำตาลอยู่ถึง 12 ช้อนชา ขณะที่องค์การอนามัยโลกให้ค่าบริโภคน้ำตาลของร่างกายที่เหมาะสมคือ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวันเท่านั้น

หวาน หวาน หวาน หวานกันเข้าไป คนกินตายช่างหัวมัน

ด้วยเหตุที่อุตสาหกรรมเครื่องดื่มต้องใช้วัตถุดิบสร้างความหวานในปริมาณมาก การพึ่งพาน้ำตาลก็มีปัญหา (ไม่หวาน  หรือหวานน้อย ทำให้ ต้นทุนสูง) อุตสาหกรรมนี้จึงหันมาใช้ฟรุกโทสไซรัป (Fructose Syrup) หรืออีกชื่อว่า “น้ำเชื่อมข้าวโพด” เพราะให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 6 เท่า อีกทั้งยังอยู่ในรูปของเหลวไม่ต้องนำมาทำละลายก่อนเข้าสู่ระบวนการผสมลงในอาหารต่างๆ รวมทั้งราคาที่ถูกกว่า ลดค่าขนส่งประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บสินค้า ทำให้ลดต้นทุนการผลิตได้หลายเท่าเมื่อเทียบกับน้ำตาลประเภทอื่นๆ

ทุกวันนี้ฟรุกโทสไซรัปจึงถูกนำมาใช้แทนน้ำตาลในอุตสาหกรรมอาหาร และหากผู้บริโภคใส่ใจอ่านฉลากวัตถุดิบหรือส่วนผสมในอาหารสำเร็จรูปที่จำหน่ายในท้องตลาด จะพบว่า ฟรุกโทสไซรัปเป็นส่วนประกอบในอาหารแทบทุกชนิดนับตั้งแต่เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว ไอศกรีม ไปจนถึงอาหารเสริมสำหรับทารก

นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 23 มิ.ย.2557 ระบุว่า 45 ปีที่ผ่านมา ฟรุกโทสไซรัปกลายเป็นแหล่งที่มาของพลังงานที่ได้รับความนิยมจากชาวอเมริกัน และมีอัตราการบริโภคสูงสุดเมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่นๆ ช่วงเวลานั้นจนถึงปัจจุบัน อัตราการบริโภคฟรุกโทสไซรัปในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 8,853%(แปดพันแปดร้อยห้าสิบสามเปอร์เซ็นต์) ขณะที่การบริโภคน้ำตาลทรายแดงลดลง 35%

ดร.เนตรนภิส วัฒนสุชาติ นักโภชนาการ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะนักวิชาการทำงานในเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน อธิบายถึงผลร้ายต่อสุขภาพของฟรุกโทสว่าน้ำตาลซูโครสเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นกูลโคสออกมาในร่างกายไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด เป็นพลังงานใช้เลี้ยงสมอง หากน้ำตาลต่ำหรือกูลโคสต่ำจะเกิดอาการวิงเวียนต่างกัน

                   แต่ ฟรุกโทส เมื่อเข้าสู่ไปยังกระแสเลือดส่วนหนึ่งจะพุ่งตรงเข้าสู่ตับ และนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับ โดยไม่ต้องอาศัยกลไกอินซูลินในการส่งผ่านสู่เซลล์ตับ ในหนึ่งวันถ้าผู้บริโภคกินน้ำตาลฟรุกโทสเกิน 6 ช้อนชา อยู่เป็นประจำ ตัวฟรุกโทสจะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรต์ คือไขมันที่สะสมอยู่ในเลือด เป็นสาเหตุให้มีการสะสมไขมันในตับและบริเวณพุง ก่อให้เกิดโรคอ้วนลงพุงในที่สุด

นักโภชนาการ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มก.กล่าวถึงอีกหนึ่งปัญหาคือฟรุกโทสมีผลต่อการดื้ออินซูลิน ทำให้ตัวเซลล์ที่จะดึงน้ำตาลกูลโคสเข้าไปใช้ไม่สามารถทำงานได้ เพราะฉะนั้นน้ำตาลก็จะอยู่ในเส้นเลือดเกินจนเกิดภาวะเป็นเบาหวาน  ปัจจุบันน้ำตาลฟรุกโทสนอกจากจะผสมในเครื่องดื่มที่มีรสหวานแล้ว ยังมีขายอยู่ในซุปเปอร์มาร์เกตชั้นนำในรูปแบบของน้ำเชื่อม ซึ่งผลิตมาจากวัตถุดิบหลักคือข้าวโพดและมันสำปะหลัง เช่นเดียวกันร้านกาแฟที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพและตามปั้มน้ำมันทั้งหลายที่ใช้น้ำเชื่อมในการชงกาแฟเหล่านี้มาจากฟรุกโทสทั้งสิ้น ซึ่งจะเห็นว่าความหวานจากฟรุกโทสหมุนรอบตัวเรา

ที่น่าตกใจคือ มีรายงานว่า ขนมหวานแบบไทยในระบบอุตสาหกรรมเริ่มใช้น้ำเชื่อมฟรุกโทสแล้ว เช่นขนมหวานใช้กะทิก็ผสมน้ำเชื่อม เพราะข้อดีเมื่อนำไปแช่แข็งแล้วไม่เป็นเกล็ด เวลารับประทานก็นำไปใส่ไมโครเวฟละลายน้ำแข็ง แต่รสชาติของฟรุกโทสจะให้ความหวานแบบเจื่อนๆ

ส่วนข้อระวังสำหรับผู้บริโภคนั้น ทพ.ญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในต่างประเทศ อย่างสหรัฐอเมริกามีทางเลือกสำหรับผู้บริโภคสำหรับเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลฟรุกโทสกับซูโคส โดยใช้สัญลักษณ์คือสีที่ฝาเครื่องดื่ม

ที่เมืองไทยก็มี โดยระบุไว้ในฉลากของผลิตภัณฑ์ว่าใช้น้ำตาลชนิดใด

 แต่ในอาหารที่ไม่ระบุฉลากเช่นน้ำปั่น ชาเขียว ชานม กาแฟเย็น ที่ขายเป็นแก้วตามท้องตลาดหรือในร้านอาหาร ไม่สามารถระบุคำเตือนได้  และขายกันเอิกเกริก ถ้าเลี่ยงได้ควรเลี่ยงหรือบริโภคแต่น้อย

“ฟรุกโทสทำให้คนอิ่มไม่เป็น อย่างเวลาหิว น้ำตาลในกระแสเลือดจะลด สมองจะบอกว่าขาดอาหารแล้วนะ และเมื่อกินจนอิ่ม น้ำตาลในกระแสเลือดจะเริ่มขึ้นเป็นปกติ จึงส่งสัญญาณไปที่สมองว่าอิ่มแล้ว ฮอร์โมนกระตุ้นหิวจะหยุดหลั่ง เราจะกินน้อยลง แต่ฟรุกโทสไม่เกิดกลไกนี้เพราะย่อยไม่ได้ในลำไส้ปกติ ร่างกายจึงนำไปเก็บไว้ที่ตับ น้ำตาลในกระแสเลือดจึงขึ้นช้ามาก เราก็กินอาหารเข้าไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ ฟรุกโทสจึงทำให้เราอร่อยแต่ไม่อิ่ม”

ทพ.ญ.จันทนากล่าวยกตัวอย่างเช่นเครื่องดื่มที่ใช้ฟรุกโทสไซรัปให้ความหวาน มักดื่มเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกพอ ยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ ร่างกายก็จะเก็บสะสมฟรุกโทสไว้มากเท่านั้น ซึ่งผลที่ตามมา คือเกิดโรคอ้วน มีไขมันพอกตับ และนักวิจัยยังพบด้วยว่าสมองทำงานผิดปกติด้วย

 ชัดเจนหรือยังครับ อันตรายรอบตัวเราทุกวันนี้ จากผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มที่ยัดเยียดให้เรา ผมได้ทำหน้าที่สื่อ นำสาระวิชาการมาเสนอท่านเพื่อประกอบการตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอย่างไร เป็นเรื่องของท่านแล้ว มิบังอาจก้าวล่วง

 

อรุณ ช้างขวัญยืน/รายงาน