The city of Brotherly love
ตระเวนดาวน์ทาวน์ “ฟิลาเดลเฟีย” เมืองหลวงแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา
เมืองหลวงแห่งแรก ของ America เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐเพนซิลเวเนีย และเป็นเมืองที่พลเมืองหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐอเมริกา และเป็นเมืองที่มีพื้นที่เมืองจากประชากรเป็นอันดับ 5 และมีผู้บริโภคสื่อมากเป็นอันดับ 4 จากการสำรวจของนีเซน มีเดีย รีเสิร์ช และเป็นเมืองที่มีพลเมืองหนาแน่นเป็นอันดับที่ 49 ของโลกเ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐเพนซิลเวเนีย
ฟิลาเดลเฟีย หรือ ที่คนทั่วไปเรียกกันสั้น ๆ ว่า ฟิลลี่ (คำว่าฟิลลี่ มาจากภาษากรีก ที่แปลว่า ความรัก) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของมลรัฐ เพนซิลเวเนีย และเป็นเมืองที่มีพลเมืองหนาแน่นเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐอเมริกา เคยเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอเมริกา ก่อนที่จะมาเป็น กรุง วอชิงตัน ดี ซี ในปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้ออยอยากจะบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ท่องเที่ยวเมืองนี้ เนื่องจากว่ามีความน่าสนใจในด้าน ประวัติศาสตร์ และในขณะเดียวกันก็เป็นเมืองที่ทันสมัยในด้านการศึกษา ดนตรี และ ค่านิยม สิ่งเหล่านี้ถือว่ามีความสำคัญและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เช่น The Philadelphia Orchestra (ติดอันดับหนึ่งใน ห้า วงออเครสตร้าของอเมริกา ) Philadelphia Eagles (ทีมอเมริกันฟุตบอลมืออาชีพ) , Philadelphia Museum of Art นอกจากนั้นยังเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาชั้นนำของอเมริกา นั่น คือ University of Pennsylvania
เริ่มต้นการเดินทางในวันสบายๆ สุดสัปดาห์ช่วงหน้าร้อน ออกเดินทางแต่เช้าตรู่เพื่อรอขึ้นรถไฟสายท้องถิ่น ราคาค่าตั๋วแค่ $ 3 ต่อเที่ยวเท่านั้นค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีจากบ้านออย ที่นิวเจอร์ซี่ ลงจากรถไฟตรงถนน 8 market street เดินไปอีกหน่อยก็จะเจอ Independent Visitor Center จุดศูนย์รวมให้คำแนะในการเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ เจ้าหน้าที่ที่นี่ใจดีมาก ๆ พยายามอธิบายให้ออยเข้าใจเพราะเค้ารู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว แบบภาษาอังกฤษยังงู ๆ ปลา ๆ เอาล่ะค่ะ อย่ารอช้า เรามาเริ่มออกตะเวนกันเลยดีกว่า โชคดีที่ว่าเมืองนี้บริเวณรอบ ๆ ตัวเมืองสามารถเดินไปได้ด้วยเท้า ถือว่าสะดวกมากเลยทีเดียว ค่ะ สถานที่แต่ละแห่งไม่ได้ไกลกันมากเลย มาเริ่มตั้งแต่ ถนน 6 th street ทีมีสถานที่ขึ้นชื่ออย่างหอระฆัง (Liberty Bell) ถือว่าหากมาเมืองนี้ต้องมาที่หอระฆัง เพราะมิเช่นนั้นเสมือนว่าไม่ได้มา ความสำคัญของหอระฆัง คือ เป็นระฆังที่ถูกใช้ในการประกาศเอกราชครั้งแรกของอเมริกา แต่หากใครจะมาก็ต้องอดทนยืนต่อแถวอันยาวเหยียดไปจนถึงด้านหลังของหอระฆังเลยทีเดียว เพราะใคร ๆ ก็อยากถ่ายรูปกับ รังฆังแตก กันทั้งนั้น ข้อดีคือ ค่าเช้าชมฟรีค่ะ
เดินลงไปอีกหน่อยบนถนน 5 th and Arch street สถานที่สำคัญคือ หลุมฝังศพของ Benjamin Franklin บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ เป็นนักเขียน นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ และนักการทูตคนสำคัญในยุคแสงสว่างของสหรัฐอเมริกา บุคคลท่านนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้น สายล่อฟ้า หลุมฝังศพของเขา ภรรยา และลูก ๆ ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน หลุมศพของ Benjamin และ Debora (ภรรยา) ฝังติดอยู่ด้วยกัน ไกล้กับรั้วเหล็กสามารถมองเห็นได้โดยง่าย ซึ่งสามารถยื่นมือเข้าไปถ่ายรูปได้ ในขณะเดียวกันบนหลุมศพเต็มไปด้วยเหรียญ เพนนี หลายร้อยเหรียญที่นักท่องเที่ยวโยนเข้าไปตามธรรมเนียมเพื่อความโชคดี ก่อนกลับเหลือบมองไปเห็นป้ายติดอยู่ตรงรั้วเหล็ก เขียนไว้ว่า The Last Resting Place of Benjamin Franklin1706 – 1790 “Venerated for benevolence admired for talent. Esteemed for patriotism. Beloved for philanthropy” การเลื่อมใสต่อความเมตตากรุณา ชื่นชมสำหรับความสามารถ นับถือเพื่อชาติ รักในใจบุญสุนทาน (คำสรรเสริญโดย George Washington )
เดินจนเมื่อย เราหยุดพักทานเข้ากลางวัน ที่สวนสาธารณะใจกลางฟิลลี่ อากาศร้อนแบบนี้คนอเมริกันนิยมห่อกับข้าวมาปิคนิคกันตามสวนสาธารณะ ก็เลยเกิดไอเดียบรรเจิดขึ้น ออยกับเพื่อนตัดสินใจเดินไปซื้ออาหารที่ฟูดคอร์ด สั่งใส่ถุงกระดาษแล้วมากินกันที่สวนสาธารณะ รสชาติแฮมเบอร์เกอร์อร่อยอย่าบอกใครเชียว แม้กระทั่งนกกระจอกอดใจไม่ไหวก็เลยพาเพื่อนทั้งฝูงมาร่วมแจมอาหารกลางวันกับเรา ช่างเป็นมื้อที่แสนวิเศษเหลือเกิน พออิ่มจากอาหารกลางวัน พวกเราก็เริ่มตระเวนต่อ งานนี้กองทัพเดินด้วยท้องจริง ๆ ระหว่างเดินไปสู่ใจกลางเมือง ออยเห็นตึกสูงใหญ่ตั้งสูงตระหง่านมาแต่ไกล รูปตึกเหมือนทรงยุโรปโบราณ ซึ่งสวยสดงดงามมากเลย ในใจคิดว่า น่าจะเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของฟิลลี่แน่ ๆ และแล้วก็ใช่จริงๆ มันคือ City Hall แลนด์มาร์คที่สำคัญในฟิลลี่ คือ สถานที่ทำการขององค์กรรัฐเพนซิลเวเนีย เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก (ค.ศ. 1901 – 1908 ) ก่อนจะถูกแทนที่ด้วย ตึกที่ทันสมัยชื่อ One Liberty Place
Love Park มาจากสัญลักษณ์คำว่า L.O.V.E ที่อยู่ตรงกลางเด่นเป็นสง่า ซึ่งก็ช่วยสะท้อนความเป็น Philadelphia ได้ดี เพราะรากศัพท์ชื่อเมืองมาจากคำว่า philos ที่แปลว่า Love ดังนั้น ป้ายนี้ก็เลยเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมือง “City of Brotherly Love” นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ยอดฮิตที่คู่รักมาถ่ายรูปกัน หรือในยามค่ำคืนก็มีมีน้ำพุหลากสีให้ชมกัน
Betsy Ross’s House คนออกแบบธงชาติอเมริกาคนแรก เรียกกันว่า แบบ Betsy Ross โดยมีรูปดาว 13 ดวงเรียงกันเป็นวงกลม ( 13 ดวง มาจากจำนวนรัฐในขณะนั้น) และพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน ( ปัจจุบันมีจำนวนดาว 50 ดวง) ออยได้มีโอกาสเข้าชมบ้านของเธอเพราะอยากรู้อยากเห็นบ้านในอดีตของคนอเมริกา แต่เมื่อเข้าไปก็ต้องประหลาดใจอย่างมากคือ แทนที่ในบ้านจะมีแค่อุปกรณ์เข้าของเครื่องใช้ของเธอเท่านั้น ยังมี ผู้หญิงแสดงเป็น Betsy Ross ตัวจริงที่ยังมีชีวิตอยู่ เสมือนว่าออยได้ย้อนยุคเข้าไปในบ้านของเธอ และกำลังมองพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเธออีกด้วย น่าสนใจมากค่ะ หากมาฟิลลี่ไม่ควรจะพลาด
Betsy Ross’s house
อีกอย่างที่น่าสนใจ หากเดินรอบ ๆ ตัวเมืองจะสังเกตุเห็นผนังของตึกที่มีการ เฟ้นท์ โดนส่วนตัวแล้วใม่ทราบเหมือนกันว่าเพื่ออะไร แต่ดูแล้วรู้สึกว่ามันเป็นศิลปะน่าสนใจจริงๆ ฟิลลี่เป็นเมืองที่มีความเป็นเอกลักษณ์ (Unique) มีความหลากหลายในพื้นที่เดียวกัน และผสมผลานกันอย่างลงตัว ทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรม ระหว่างตึกแบบทันสมัยและในขณะเดียวกันยังคงความงดงามของรูปทรงตึกเก่า ๆ ได้อย่างลงตัว
ออยและเพื่อนตระเวนกันจนเกือบค่ำ ความเหน็ดเหนี่อยเข้ามาแทนที่ เลยหยุดผ่อนคลายที่ร้านกาแฟสตาร์บั๊ค จิบกาแฟร้อน ๆ นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ผู้คนเดินกันขวักไขว่ อย่างรวดเร็วแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตรงมุมโน้นชายหญิงพรอดรักกัน มุมนี้ชายผิวดำนอนลงกับพื้นเพราะไม่มีที่อยู่อาศัย อีกคนที่เพิ่งเดินผ่านไปเสียบหูฟังอยู่ในโลกส่วนตัวของเขา นี่แหละหนอ สังคม วัฒนธรรมอเมริกา
By Angkana Sangkaew
สำนักข่าว
cnx news เจาะข่าว ตรงใจคุณ รายงาน