“เฟรม” โผล่ชี้แจง หลังตกเป็นข่าวทำร้ายร่างกาย น.ศ.วิศวฯ มช.
“เฟรม” โผล่ชี้แจง หลังตกเป็นข่าวทำร้ายร่างกาย น.ศ.วิศวฯ มช.
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 เวลาประมาณ 13.00 น. นายปวีณ์กร สัมพันธวิวัฒน์ หรือพุธ อายุ 22 ปี นักศึกษา ชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เดินทางมาที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์พร้อมกับมารดา เพื่อพบ พ.ต.ท.ธงชัย บัวเงิน รอง.ผกก.ชำนาญการ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมในกรณีที่ถูกทำร้ายร่างกาย และได้นำใบรับรองแพทย์ฉบับที่ 2 จากโรงพยาบาลมาแสดง ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับ คู่กรณี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา ตามที่เว็บไซต์ของเราได้นำเสนอไปแล้วนั้น อาการบาดเจ็บของ นายพุธ ในวันนี้แพทย์ได้พิเคราะห์โรคว่า “กระดูกต้นแขนซ้ายหัก” เห็นควรให้พักรักษาตัวต่อในวันที่ 30-7 ธ.ค. 59 เพื่อพักให้กระดูกติดกัน และต้องไปพบแพทย์ทุกอาทิตย์เพื่อดูอาการอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6 สัปดาห์ซึ่งชัดเจนแล้วว่าการรักษานั้นต้องเกิน 20 วันแน่นอนและผู้เสียหายยังถนัดซ้าย ใช้มือซ้ายเขียนหนังสือซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการเรียนด้วย และตาขวาด้านในยังมีอาการแดงเหมือนเดิมเนื่องจากเส้นเลือดฝอยในตาแตกแต่บริเวณด้านนอกที่บวมนั้นเกือบเป็นปกติแล้ว
ในการให้ปากคำเพิ่มเติมในวันนี้ นางกมลวรรณ สัมพันธวิวัฒน์ อายุ 55 ปีมารดาของนายพุธ ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากคู่กรณีและคิดว่าคงจะไม่ติดต่อมาแล้วหลังจากนี้ก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ซึ่งในคดีที่ลูกชายถูกทำร้ายร่างกายในครั้งนี้ ทำให้ตนเองเสียขวัญและสงสารลูกที่อาจจะมีปัญหาในการเรียนซึ่งตอนนี้ก็อยู่ปี 4 แล้ว ทางด้านพ.ต.ท.ธงชัย บัวเงิน รอง.ผกก.ชำนาญการ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ก็ได้แจ้งผู้สื่อข่าวว่า หลังจากที่ผู้เสียหายให้ปากคำเสร็จก็จะได้รับแจ้งความร้องทุกข์ในข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส หลังจากนั้นก็จะเรียกคู่กรณี คือนายวุฒิกรณ์ดอนปัน หรือเฟรม เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาและติดต่อพยานในเหตุการณ์ทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีต่อไป ซึ่งในวันนี้ นายเฟรมก็ได้เดินทางมาที่ สภ.ภูพิงค์ฯ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าจะไม่หลบหนีและพร้อมเข้าให้ปากคำถ้ามีการเรียกตัว พนักงานสอบสวนจึงให้กลับไปก่อนเพราะยังไม่ได้สอบสวนผู้เสียหาย
ทางนายวุฒิกรณ์ ดอนปัน หรือเฟรม ได้ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากที่ตนตกเป็นข่าวอยากจะชี้แจงถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวันเกิดเหตุว่า ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 วัน ตนพร้อมกับเพื่อนผู้หญิง 1 คนเพื่อนผู้ชายอีก 2 คนได้ไปอ่านหนังสือ โดยคู่กรณีอยู่โต๊ะเยื้องๆกันที่ร้านกาแฟดำเนินสะดวก ต่อมาแฟนของคู่กรณีเดินมา ก็หันไปมองหน้ากัน ต่อมาเพื่อนตนสะกิดว่าคู่กรณีหันมามอง มองมาประมาณว่าตนไปมองแฟนของเขา จนคู่กรณีออกจากร้านแต่คล้องคอแฟนสาวก่อนหันมาเย๊าะเย้ยพวกตน พออีกวันคือวันเกิดเหตุ ตนพร้อมเพื่อนอีก 1 คน ได้ไปที่ร้านกาแฟร้านเดิมอีกก็พบว่าคู่กรณีได้เข้ามาที่ร้านพร้อมเพื่อนอีก 2 คนเช่นกันหลังจากนั้นก็ยังคงมีอาการมองหน้ากันไปมาอยู่เช่นเดิม จนตนจึงเดินออกมาสูบบุหรี่ฝั่งตรงข้ามร้านกับเพื่อนหนึ่งคน ฝ่ายคู่กรณีก็เดินออกมาเช่นกันพร้อมกันสามคนก่อนมามองหน้า และพยักหน้าให้กัน ตนจึงเดินข้ามถนนเข้าไปถามว่ามองหน้าทำไม หลังจากนั้นตนจึงเดินเข้าไปหาสอบถาม ก่อนจะโต้เถียงกัน ตนสูบบุหรี่พ่นควันออกไป คู่กรณีไม่พอใจจึงจับคอเสื้อและผลักอกตนจึงต่อยไปหลายหมัด เพราะเคยเรียนมวยที่ยิมมาก่อน จะมีเพื่อนของเขามาช่วย แต่เพื่อนผมก็กันไว้ คือต่อยเดี่ยวกันไม่ได้รุมแต่อย่างใด โดยคู่กรณีล้มลงแต่ผมก็ไม่ได้ซ้ำ พร้อมให้มาเคลียร์กันต่อที่รถ โดยตนเอาไม้เบสบอลมาถือไว้คุมเชิงเพราะคนเขามีเยอะ ฝั่งนั้นก็ยอมบอกไม่เอาอะไรแล้วก็ขอโทษโดยเพื่อนเขาก็บอกว่าเพื่อนตนเองนั้นมีไสตล์แบบนี้อยู่แล้วซึ่งเป็นบุคลิกส่วนตัว ตนจึงบอกว่าแฟนสาวของเขาตนไม่สนใจหรอก ผมนะมีแฟนแล้วไม่ยุ่งด้วยหรอก เพื่อนของตนที่มาด้วยกันยังเปิดรถเอากระดาษทิชชู่ให้คู่กรณีเช็ดหน้าด้วย ที่ตนอยากออกมาแก้ข่าวคืออยากให้แหล่งข่าวบางแห่งบอกพวกผมเข้าไปหาคู่กรณี 4 – 5 คนเพื่อไปรุมฝั่งนั้นแค่ 2 คน แต่เหตุการณ์จริงคือพวกตนเองมีกันแค่สองคน ฝั่งนั้นมีสามคน ผมเดินไปเดี่ยวกันแค่คนเดียว ไม่ได้ลากไปซ้อมข้างซอกรถหรืออะไร อยากบอกสังคมว่าที่ตนไปมีเรื่องคือการทะเลาะวิวาท แต่ตนไม่เคยจะไปรุมใคร มีปัญหาคือหนึ่งต่อหนึ่งจบ ตัวเองก็ไม่ได้มีนิสัยแบบนั้นแน่ นายเฟรมกล่าว
ลิงก์ข่าวที่เกี่ยวข้อง
CNX NEWS เจาะข่าว ตรงใจคุณ
รายงาน