JMT เล็งซื้อหนี้เน่ารถคันแรกเข้าพอร์ต3,000ล.
JMT คาด รถคันแรกทำหนี้เสียพุ่ง คาดซื้อหนี้เพิ่มจากโครงการนี้ 3,000 ล้าน หลังเข้าซื้อหนี้เพิ่มจากธนชาต 44.34 ลบ.
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส หรือ JMT ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสินเชื่อปีนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยหนี้กลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิตมีอัตราที่เพิ่มขึ้น โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่าในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา มีมูลหนี้เสียในระบบมูลค่าราว 4.7 หมื่นล้านล้านบาท และคาดว่าในปีนี้มูลหนี้เสียจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 5.6 หมื่นล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นโอกาสของบริษัทฯ ให้มีแนวโน้มเติบโตขึ้นได้อีกมาก รวมไปถึงโครงการรถคันแรก ที่คาดว่าจะมีหนี้เสียอยู่ที่ราว 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะเข้าไปซื้อหนี้เสียจากโครงการดังกล่าวนี้ประมาณ 3 พันล้านบาท เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลงานบริษัทฯ ในปีนี้ เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ มีรายได้เติบโตราว 25-30% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 393.74 ล้านบาท และกำไรสุทธิเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง จากปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 109.83 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เข้าประมูลซื้อหนี้ด้อยคุณภาพกับ ธนาคารธนชาต เพื่อนำมาบริหารและติดตามเร่งรัดชำระหนี้ และสามารถชนะการประมูลซื้อหนี้ด้อยคุณภาพดังกล่าว โดยได้ลงนามในสัญญาซื้อโอนสิทธิเรียกร้องลูกหนี้กับธนชาตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมูลค่าการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพในครั้งนี้ มีราคาซื้อเท่ากับ 44.34 ล้านบาท หรือเท่ากับ 6% ของมูลค่าสินทรัพย์รวมของบริษัทและบริษัทย่อย ซึ่งคำนวณตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน โดยคำนวณจากงบการเงินรวมของบริษัท สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555
อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณมูลหนี้ด้อยคุณภาพสะสมในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2555 – มีนาคม 2556) ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้ทำการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารแล้วมูลค่า 94.35 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.68% โดยเมื่อรวมกับการซื้อหนี้รอบล่าสุดที่ 44.34 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารรวมเท่ากับ 138.69 ล้านบาท หรือ 18.68% ของมูลค่าสินทรัพย์รวมของบริษัทและบริษัทย่อย
ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่ามูลค่าการลงทุนล่าสุด บริษัทฯ จะได้รับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน อยู่ที่ประมาณ 10-12% ต่อปี ซึ่งจัดว่าเป็นอัตราผลตอบแทนที่คุ้มค่าและสูงกว่าอัตราต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ชำระมูลหนี้ทั้งหมดที่ซื้อมาในครั้งนี้เป็นเงินสดเรียบร้อยแล้วในวันที่ทำสัญญา โดยเงินลงทุนในการซื้อหนี้ครั้งนี้ มาจากแหล่งเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน
“หนี้จากธนาคารธนชาตมูลค่า 44.34 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตที่มาจากธนาคารนครหลวงไทย ซึ่งมูลค่าที่ประมูลได้ถือว่าอยู่ในระดับที่พอใจ และในเบื้องต้น คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนจากการเข้าประมูลซื้อหนี้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และบัตรเครดิตจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่งเพิ่มเติมอีกในไตรมาส 2/56 นี้ อีกทั้ง บริษัทฯ มีแผนเข้าประมูลโครงการซื้อหนี้ เพิ่มเติมอีกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดว่าทั้งปี 2556 จะมีพอร์ตซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนในการซื้อหนี้ประมาณ 500 ล้านบาท” นายปิยะ กล่าว
ขอบคุณ ภาพและข่าว
สำนักข่าว
cnx news เจาะข่าว ตรงใจคุณ รายงาน