แค่ 2558 ปีเดียวโจรคอมพิวเตอร์ดูดทรัพย์เหยื่อ3ล้านล้านดอลล์ไอที.ไทย สู้ๆๆพร้อมรับมือ

Spread the love

scoop

สกู๊ปพิเศษ CNX NEWS 

แค่ 2558ปีเดียวโจรคอมพิวเตอร์ดูดทรัพย์เหยื่อ3ล้านล้านดอลล์ไอที.ไทย สู้ๆๆพร้อมรับมือ

 

ท่านผู้อ่านครับ ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินหรือ FinTechก่อให้เกิดบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวก ลดต้นทุน และสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวกลับถูกนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เห็นได้จากกรณีที่ Cybersecurity Ventures

บริษัทวิจัยด้านความปลอดภัยของระบบไอทีชื่อดังของโลกรายงานว่าในปี 2558 อาชญากรรมในโลกไซเบอร์มีมูลค่าราว 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจนแตะระดับ 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี2564 ถือว่าเป็นเรื่องน่าตกใจมาก

           สำหรับประเทศไทยเรา ข้อมูลของศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย (ThaiCERT) พบว่าในปี 2558 มีหน่วยงานในประเทศไทยถึง 81 องค์กรที่ถูกโจรกรรมข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามกับความปลอดภัยของบริการทางการเงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์

            เรื่องนี้ มีรายงานว่าสถาบันการเงินหลายแห่งทั่วโลกได้หันมาพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Biometrics”แล้วครับ โปรดติดตามผมมา

Biometrics มาจากคำว่า Bio ซึ่งแปลว่าสิ่งมีชีวิต และ Metric ซึ่งหมายถึงคุณลักษณะที่สามารถวัดได้ Biometrics คือ เทคโนโลยีที่ใช้คุณลักษณะของสิ่งมีชีวิตในการยืนยันตัวบุคคล อาทิ เสียง ลายนิ้วมือ ม่านตา เป็นต้น โดยจุดเด่นของเทคโนโลยีดังกล่าว คือมีความแม่นยำสูงมากในการระบุตัวตน สะท้อนจากอัตราการหลุดรอด   ของผู้แปลกปลอมจากการตรวจจับ (False Rejection Rate : FRR) อยู่ที่ 0.1% และอัตราการปฏิเสธการผ่านของผู้ใช้ที่ถูกต้อง (False Acceptance Rate : FAR) อยู่ที่ 0.001%

ล่าสุดมีรายงานอีกว่าสถาบันการเงินหลายแห่งในต่างประเทศเริ่มใช้ Biometrics ในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้บริการแล้ว โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย อาทิ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ หรือแม้กระทั่งประเทศกำลังพัฒนาที่มีความเสี่ยงและอัตราการเกิดอาชญากรรมสูงก็นิยมใช้ Biometrics ในการรักษาความปลอดภัยของการทำธุรกรรมทางการเงินเช่นกัน อาทิ แอฟริกาใต้ใช้ระบบ Biometrics สำหรับการทำธุรกรรมที่สาขาของธนาคาร ATMs จุดจำหน่ายสินค้า และการซื้อสินค้าออนไลน์ โดยปัจจุบันมีระบบ Biometrics ที่ใช้การสแกนลายนิ้วมือกว่า 40,000 แห่งทั่วประเทศ และมีการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดังกล่าวสูงถึง 2.5 ล้านรายการต่อเดือน ทั้งนี้ กระทรวงกิจการภายใน (Department of Home Affairs) ของแอฟริกาใต้ ประเมินว่า Biometrics จะช่วยป้องกันความเสียหายจากการโจรกรรมข้อมูลคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 322 ล้านแรนด์แอฟริกาใต้ หรือราว 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน

หากพิจารณาพฤติกรรมในการทำธุรกรรมทางการเงินของคนไทยในช่วงที่ผ่านมา พบว่านิยมใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น โดยในปี 2558 ปริมาณการทำธุรกรรมผ่าน Internet Banking และ Mobile Banking ขยายตัวสูงถึง 8% และ 127% จากปีก่อน ตามลำดับ ประกอบกับหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาล ได้แก่ นโยบาย National e-Payment ที่มีจุดมุ่งหมายในการผลักดันให้ไทยเป็น Cashless Society ที่ต้องมีการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการโจรกรรมข้อมูลมากกว่าการทำธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบเดิม Biometrics จึงน่าจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเป็นลำดับในการรักษาความปลอดภัยสำหรับธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์

ในระยะถัดไปการนำเทคโนโลยี Biometrics มาใช้ในการรักษาความปลอดภัยของภาคการเงินอาจกลายเป็นเครื่องมือขั้นพื้นฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ล่าสุดธนาคารพาณิชย์ของไทยก็กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวเช่นกัน และคาดว่าจะถูกนำมาใช้ในไม่ช้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบรักษาความปลอดภัยของภาคการเงินไทยให้แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจเริ่มต้นด้านเทคโนโลยี (Tech Startup) ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นและเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ควรให้ความสนใจในเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลซึ่งกำลังเป็นเทรนด์สำคัญของโลกยุคใหม่ เพื่อให้การเริ่มต้นธุรกิจประสบความสำเร็จและเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน

เอาเรื่องชวนเครียดมานำเสนอ อ่านแล้วอย่าเครียดนะครับ ถือเป็นเรื่องน่ารู้ และประเทืองสมองก็แล้วก็แล้วกัน

ขอขอบคุณEXIM E-NEWS

อรุณ ช้างขวัญยืน/เรียบเรียง/รายงาน