วันศุกร์, 29 มีนาคม 2567

ดีเอสไอแจ้งข้อหา”อภิสิทธิ์-สุเทพ”คดีการตายของ”พัน คำกอง”

Spread the love

ดีเอสไอแจ้งข้อหา”อภิสิทธิ์-สุเทพ”คดีการตายของ”พัน คำกอง” ระบุชัดร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาให้มารับทราบข้อกล่าวหา 12 ธ.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 6 พ.ย.55 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน คดี 91 ศพ เหตุชุมนุมทางการเมืองปี2553แถลงผลประชุมคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอตำรวจและอัยการว่าที่ประชุมมีมติร่วมกันให้ดำเนินการแจ้งข้อหากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบสูงสุดของศอฉ. และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผอ.ศอฉ.ว่า “ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ,83,84 และ 288 สืบเนื่องจากศาลยุติธรรมมีคำสั่งในคดีการไต่สวนสาเหตุการตายของนายพัน คำกอง เท็กซี่เสื้อแดงว่า การตายเกิดจากถูกกระสุนปืนของทหารที่เข้าปฏิบัติการตามคำสั่งของศอฉ. และศาลยุติธรรมได้ส่งสำนวนการพิจารณาไต่สวนทั้งหมดพร้อมคำสั่งมายังตำรวจนครบาล และถึงดีเอสไอ ในที่สุดแล้วซึ่งคณะพนักงานสอบสวนจำเป็นต้องยึดถือเอาข้อเท็จจริงอันเป็นยุติโดยการไต่สวนของศาล

นายธาริต กล่าวว่า พยานหลักฐานสำคัญที่ทำให้คณะพนักงานสอบสวนทั้ง 3 ฝ่าย มีมติแจ้งข้อหาแก่บุคคลทั้งสอง มาจากพยานที่ได้จากการไต่สวนและคำสั่งศาล และพยานหลักฐานเพิ่มเติมที่สอบสวนได้ เช่น การสั่งใช้กำลังทหารที่มีอาวุธปืนเข้าปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งศอฉ.เรียกว่าการกระชับพื้นที่และการขอคืนพื้นที่ การสั่งใช้อาวุธปืน การสั่งใช้พลซุ่มยิง และอื่นๆ โดยมีการออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร จากนายสุเทพ และได้อ้างไว้ในคำสั่งด้วยว่า เกิดจากการสั่งการของนายก รัฐมนตรี อย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับพยานบุคคลที่ร่วมอยู่ในศอฉ.ว่า นายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้รับรู้สั่งการและพักอาศัยในศูนย์ปฏิบัติการของศอฉ. ตลอดเวลา และสำคัญ คือการสั่งการของบุคคลทั้งสอง กระทำอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง แม้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชนแล้วก็หาได้ระงับยับยั้ง หรือใช้แนวทางอื่นแต่อย่างใด รวมถึงพยานแวด ล้อมกรณีอื่นๆอีก จึงบ่งชี้ได้ว่าเป็น เจตนาเล็งเห็นผลได้ว่าการร่วมกันสั่งการเช่นนั้น ย่อมทำให้เกิดการตายของประชาชนจำนวนมากและต่อเนื่องกันหลายวัน

นายธาริต แถลงเพิ่มเติมว่า หน้าที่ของพนักงานสอบสวนต้องดำเนินการต่อตามผลไต่สวนและคำสั่งของศาล ส่วนทหารที่ได้เข้าปฏิบัติการ ศาลไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้ใดและผลการสอบสวนไม่สามารถระบุตัวตนได้ ดังนั้น ตามกฎหมาย อาญามาตรา 70 ระบุว่า เมื่อมีการปฏิบัติตามคำสั่งการย่อมได้รับความคุ้มครองโดยไม่ต้องรับโทษ จึงไม่แจ้งข้อกล่าวหากับทหาร รวมทั้งฝ่ายยุทธการ และกองทัพซึ่งได้รับการคุ้มครอง เนื่องจากปฏับัติตามคำสั่งศอฉ. อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอ ได้มีหนังสือแจ้งให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมารับทราบข้อหา และทำตามสอบสวนในฐานะผู้ต้องหา ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ และแจ้งว่า หากทั้งสองเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาและสอบสวนเสร็จแล้วก็จะใช้ดุลยพินิจปล่อยตัวไป โดยไม่ขอศาลให้ฝากขังตามพรบ.การสอบสวนคดีพิเศษ เนื่องจากทั้งสองเป็นอดีตข้าราชการฝ่ายการเมืองชั้นผู้ใหญ่ ดีเอสไอจึงออกหนังสือเชิญแทนหมายเรียก

นายธาริต กล่าวว่า การให้มารับทราบข้อหาในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ เพื่อต้องการได้ตัว เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินคดี เพราะหากพ้นวันที่ 20 ธ.ค.2555 แล้ว บุคคลทั้งสอง ก็จะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมาย เนื่องจากเปิดประชุมสภาผู้แทนฯ โดยเชื่อว่า ทั้งสองจะมาตามนัดหมาย ไม่ถ่วงเวลาจนเปิดประชุมสภาผู้แทนฯ ในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้ ตนยืนยันไม่ได้ทำคดีไปตามใบสั่งการเมือง และเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นมีผู้ทำผิดทั้ง 2 ฝ่ายโดยกลุ่มฮาร์ดคอร์นปช. ถูกดำเนินคดีไปแล้ว 62คดี มีผู้ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาล 295 คน ส่วนกลุ่มผู้สั่งการของศอฉ.เพิ่งถูกดำเนินคดีเป็นคดีแรกจึงสรุปได้ว่าดีเอสไอดำเนินคดีทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน

ถามว่า ขณะเกิดเหตุนายอภิสิทธ์ และนายสุเทพ เป็นนายกรัฐมนตรีและรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง หากไม่สั่งให้ฝ่ายปฎิบัติการยุติเหตุการณ์จลาจลของกลุ่มนปช.จะเข้าข่ายละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 หรือไม่ นายธาริต กล่าวว่า ประเด็นอยู่ว่าการสั่งการของนายอภิ สิทธิ์และนายสุเทพทำนอกหน้าที่หรือไม่ การดำเนินการของทั้ง 2 คนเข้าข่ายเล็งเห็นผลคือใช้กองกำลังที่มีอาวุธเข้าปะทะกับประชาชนใช้พลซุ่มยิงย่อมมีเจตนาทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ถามว่าก่อนหน้านี้นายธาริตเคยออกมาแถลงในนามศอฉ.ว่าเห็นด้วยกับการเข้าควบคุมสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่ นายธาริต กล่าวว่า ความเห็นของตนเป็นเห็นด้วยในการดำเนินการที่ไม่เกี่ยวกับการใช้อาวุธ แต่ไม่เคยให้ความเห็นในการดำเนินการใช้อาวุธกับประชาชน ซึ่งการตัดสินใจของศอฉ.เป็นความเห็นของคน 2 คนคือ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ โดยกรรมการฝ่ายยุทธการมีหน้าที่ให้คำปรึกษา ส่วนกรรมการทั่วไปมีหน้าที่ติดตามสถานการณ์เท่านั้นจึงไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ

สำนักข่าว

cnx news เจาะข่าว ตรงใจคุณ