วันเสาร์, 20 เมษายน 2567

จีนรักไทยจริงหรือ .วิจารณ์แหลก การศึกษาของไทย

13 มี.ค. 2015
524
Spread the love

จีนรักไทยจริงหรือ .วิจารณ์แหลก การศึกษาของไทย

education

 

            บ้านเมืองของเราปัจจุบันนี้อยู่ในภาวะประชาธิปไตยแบบผสมผสานหรือประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ เรามีรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรี มีคณะรัฐมนตรี  มีสภา แต่เป็นระบบแต่งตั้ง มิได้ถูกเลือกมาจากประชาชนเมื่อบ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์ เราจึงถูกนานาประเทศในโลกเสรีกดดันต่างๆนานาเพื่อเร่งเร้าให้ผู้ครองอำนาจในปัจจุบันคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว   ซึ่งนานาประเทศนั้น สหะรัฐอเมริกา ดูเหมือนว่าจะแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรกับเราอย่างเห็นได้ชัด

             แต่เราก็ยังมีประเทศที่แสดงตัวว่าเป็นมิตรกับเรา นั่นคือประเทศจีน

            จีนแสดงท่าทีและเสนอสิ่งดีๆให้ประเทศไทยหลายเรื่อง  อย่างเรื่องโครงการรถไฟความเร็วสูงจะแบบรางเดี่ยวหรือรางคู่  ก็มีข่าวว่าจีนจะให้เงินกู้แก่เรา  โดยประเทศที่จะให้เงินกู้อีกหนึ่งประเทศคือ ญี่ปุ่น

                ส่วนไทยจะใช้บริการเงินกู้จากจีนหรือญี่ปุ่นหรือจะเอาทั้ง2ประเทศ โดยแบ่งเส้นทางให้ทำก็แล้วแต่ดุลยพินิจของรัฐบาล แต่ก็มีการนำเสนอข้อดีข้อเสียของเงินกู้ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น

ซึ่งจากการคุยกันนอกรอบฝ่ายไทยเสนอเส้นทางรถไฟให้ทั้ง2ประเทศคือจีนกับญี่ปุ่นทำ ทั้ง2ประเทศ  เมื่อได้เส้นทางที่จะทำแล้วก็จะต้องรับผิดชอบหาแหล่งเงินมาดำเนินการ แต่ฝ่ายไทยเป็นผู้รับภาระชำระคืนเงินกู้รวมดอกเบี้ย

ผู้รายงานบอกว่าได้วิเคราะห์ว่าจีนได้เส้นทางดีกว่าญี่ปุ่น    เพราะจะได้รับประโยชน์จากเส้นทางเชื่อมจีน-ไทย  หากจีนไม่หวังผลตอบแทนจากการลงทุนมากนักก็น่าจะมีโอกาสได้งานก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-มาบตาพุด   ระยะทาง 734 กิโลเมตร และเส้นทางแก่งคอย-กรุงเทพฯ ระยะทาง 133 กิโลเมตร   ซึ่งเส้นทางสายหนองคายสามารถเชื่อมต่อกับลาวและเข้าจีนได้

ส่วนเส้นทางที่รัฐบาลต้องการมอบให้ญี่ปุ่นนั้น คือเส้นทางพุน้ำร้อน-กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-สระแก้ว-กัมพูชา ซึ่งเป็นเส้นทางที่ญี่ปุ่นไม่ได้รับประโยชน์โดยตรง อีกทั้ง เส้นทางนี้ยังขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายอีกด้วย

การเจรจารายละเอียดกับจีนยกแรกเพิ่งผ่านไป ในขณะที่การเจรจากับญี่ปุ่นยังไม่เริ่มขึ้น มีแต่เพียงการไปเยือนญี่ปุ่นพร้อมกับทดลองนั่งชินคันเซ็นหรือรถไฟความเร็วสูงเส้นทางแรกของโลกจากกรุงโตเกียวไปสู่โอซาก้าโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะเมื่อเร็วๆ นี้ เท่านั้น

        ผลการเจรจากับจีนครั้งที่ 1 ปรากฏว่าจีนเสนอเงินกู้ให้ไทยใช้ในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีน-ไทย โดยมีเงื่อนไขดังนี้

1. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 2% – 4% ต่อปี ซึ่งแพงกว่าดอกเบี้ยที่ญี่ปุ่นให้ไทยกู้เงินก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ ที่มีอัตราดอกเบี้ย 1.4% ต่อปี หากย้อนดูอดีตจะพบว่าญี่ปุ่นเคยให้ไทยกู้เงินก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ โดยคิดดอกเบี้ยต่ำมาก คือคิดเพียงแค่ 0.75% ต่อปี เท่านั้น

2. ระยะเวลาปลอดหนี้ 4 ปี ในขณะที่เงินกู้ของญี่ปุ่นสำหรับก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงให้ระยะเวลาปลอดหนี้ 7 ปี

3. ระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ 20 ปี ในขณะที่เงินกู้ของญี่ปุ่นสำหรับก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงให้ 25 ปี

ดูเงื่อนไขเงินกู้แล้วเห็นได้ว่าจีนสู้ญี่ปุ่นไม่ได้    กล่าวคือจีนต้องการผลประโยชน์จากการให้กู้เงินมากกว่าญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้น จีนยังต้องการให้ไทยใช้เทคโนโลยีรถไฟของจีน พร้อมทั้งให้จีนออกแบบ ก่อสร้าง และบริหารจัดการเดินรถ แนวทางการลงทุนเช่นนี้จะทำให้จีนได้รับประโยชน์จากเงินกู้ ได้กำไรจากการขายขบวนรถไฟ ระบบราง ระบบตั๋ว ระบบจ่ายไฟ และระบบอาณัติสัญญาณและสื่อสาร ได้กำไรจากการออกแบบและก่อสร้าง และยังได้กำไรจากการรับจ้างบริหารจัดการเดินรถอีกด้วย

            จากรายงานนี้จะเห็นว่าการที่จีนจะให้เงินกู้ไทย นั้นมีเงื่อนไขพ่วงท้ายมาหลายอย่าง ซึ่งมองแล้วเกิดภาพสับสนว่า จีนจริงใจกับไทยมากแค่ไหน จึงต้องรอผลการตัดสินใจจากรัฐบาลก่อนว่าจะเอาอย่างไร

          ขอพักเรื่องนี้ก่อน เพราะมาพบอีกเรื่องหนึ่ง ลองติดตามดูก่อน

มีรายงานว่า 1สถานทูตจีน เขียนรายงาน (เป็นภาษาจีน) ระบุการศึกษาบ้านเรา เน้นแต่ด้าน ศิลปศาสตร์ นิติฯรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การตลาด บริหารธุรกิจ ซึ่งจบมาแล้ว ไม่มีงานทำ ความรู้กระจอก สักแต่ให้มีปริญญา ไม่ได้สร้าง value-added ใดๆ  นักวิทยาศาสตร์ การวิจัย แทบจะเป็นศูนย์

       นายGuanmu อดีตเอกอัครรทูตจีน บอกว่า25ปีที่ผ่านมา ไทยผลิตยาง ยังไงก็ยังทำแบบนั้น ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม ทำสิ่งประดิษฐ์ อะไรเองไม่เป็น สร้างคิดอะไรไม่ได้

2. มหาวิทยาลัยไทย ร้อยละ90  กิจกรรมเน้นเต้น หลีดโชว์หล่อสวย แต่โง่ ไม่มีการฝึกงานอะไร ที่เป็นประโยชน์ ขอเงินพ่อแม่ เที่ยวกลางคืน ไปวันๆ โชว์วัตถุนิยม  พวกดีๆ ก็มีแต่มันน้อย มีแค่10% ในขณะที่เด็กสหรัฐฯ พวก MIT Stanford   หรือเด็กจีนชิงหัว ปิดเทอม พยายามหางานทำ ฝึกงาน UN World Bank JP Morgan หรือมาค่ายผู้ลี้ภัย ชาวโรฮิงญาในไทย

3. จ่ายครบจบแน่ ปริญญาขยะ เต็มบ้าน คือ หางานไรทำไม่ได้ มีแต่อยากจะรวย จะทำธุรกิจ   คือมันคิดไรไม่ออก นอกจากขายของ นอกจากนี้ ยังทุจริต ผันงบกระทรวงศึกษา ให้ทุนกู้ยืม มหาวิทยาลัยเอกชน ที่มีนักการเมือง เป็นเจ้าของ สุดท้ายหนี้สูญ เพราะเด็กบ้านนอก ได้มาเข้ากรุง สักว่าจบปริญญา ประดับบ้าน แต่มันหางานทำไม่ได้ ปึหนี่งหมดเงิน ภาษีประเทศซาติ ไปหลายหมื่นล้าน เรื่องเลวๆนี้ และไม่เคยถูกตรวจสอบ

4. ภาษาอังกฤษ แย่ จริงๆ อาจารย์ส่วนใหญ่ ก็ลอกบทความฝรั่ง มาแปลๆ ไม่มีความคิด อะไรใหม่ หาน้อยคน ที่จบระดับโลก ไปดูCVเอาเอง ได้จบมหาลัยห้องแถว B-class ทั้งนั้น งานวิจัยขยะ copy/paste เด็มไปหมด ครูมัธยม เอาแค่โรงเรียน ในกรุงเทพฯ ผมเคยถูกเชิญไปพูด ยังออกเสียง สะกดศัพท์ไม่ถูกเลย จะสอนเด็กให้ถูก อย่างไร แล้วโรงเรียน ในอ.ปัว จังหวัดน่าน มันจะห่วยแตก ขนาดไหน

5.ความรู้ใหม่ๆ หรือเทคโนโลยี มันหมุนเวียน เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งคนไทยรู้แต่ ภาษาไทยตัวเอง ไม่มีความสามารถ แข่งขันอะไร ในระดับโลก โลกทรรศน์สุดจะแคบ สำนักข่าวไทย รายงานแต่เรื่องเส็งเคร็ง ไม่ได้สร้างคุณค่า ความรู้อะไร คนนั้นท้องกับคนนี้ ตำรวจตั้งด่านไถตังค์ ไปวันๆ ไปทำงานมา หลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บอกได้เลย  นักเรียนไทย โคตรจะขี้เกียจ ไม่รู้ปีหนึ่งๆ อ่านหนังสือกัน กี่เล่ม?…

อมิตตพุทธ

                    ทั้ง2รายงานที่นำเสนอนี้ ดูเหมือนว่าจีนจะไม่ค่อยจริงใจกับไทยเท่าไรนัก ลักษณะเหมือนมือขวาจับกันมือซ้ายไพล่หลังแล้วถือมีดอยู่ พร้อมที่จะเสียบอกได้ทันที

                       ต้องรอดุกันต่อไป แบบหนังชีวิต จะสรุปเลยไม่ได้ เพราะหนังชีวิตมันมีทั้งโศกเศร้าและเคล้าความสนุกสนานผสมผสานกันเข้าไป  มิตรภาพจีนกับไทยจะอย่างไร  กาลเวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบ

 

อรุณ ช้างขวัญยืน /รายงาน

สำนักข่าว CNX NEWS เจาะข่าว ตรงใจคุณ