วันพฤหัสบดี, 18 เมษายน 2567

ข่าวดี รัฐฯยอมขาดรายได้เกือบ2หมื่นล้าน ลด แลก แจก แถมคนซื้อบ้าน ปี 2559

Spread the love

ข่าวดี  รัฐฯยอมขาดรายได้เกือบ2หมื่นล้าน

ลด แลก แจก แถมคนซื้อบ้าน ปี 2559

scoop1

 

ข่าวดีครับ ข่าวดี ข่าวดี อันเนื่องมาจากการนำเสนอข่าวของเราว่า คนซื้อบ้านมีปัญหาแบงก์ไม่ปล่อยกู้ บัดนี้ มีมาตรการช่วยเหลืออกมาแล้ว ซึ่งเป็นมติ ครม.แล้ว คาดว่าจะมีผลในปลายปีนี้ ใครที่ติดตามข่าวอยู่ มาดูรายละเอียดกันเลย  

เริ่มจากข่าว รถยนต์คันแรกก่อน  นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยเมื่อวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2558 ว่าว่า โครงการรถคันแรกได้ปิดโครงการตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2558 ตามมติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)ดังนั้นผู้ที่มีสิทธิ์ได้จองรถแต่ไม่มารับรถภายในวันที่ 30 กันยายน 2558 ที่ผ่านมาถือว่าสละสิทธิ์ โดยตั้งแต่เริ่มโครงการมามีผู้ขอใช้สิทธิ์ทั้งสิ้น 1.25 ล้านราย คิดเป็นเงินภาษี 9.28 หมื่นล้านบาท แต่มีผู้อยู่ในฐานะได้รับสิทธิ์ 1.12 ล้านราย เป็นเงินภาษีที่ต้องคืน 8.25 หมื่นล้านบาท

การคืนเงินภาษีให้กับผู้ที่ได้สิทธิ์ได้ดำเนินการไปแล้ว 1.1 ล้านรายเป็นเงิน 8.11 หมื่นล้านบาท ยังคงเหลือเงินที่ต้องจ่ายในปีงบประมาณ 2559 อีก 366 ล้านบาท

นายสมชายกล่าวว่า ในขณะเดียวกันกรมสรรพสามิตได้ ติดตามเรียกเงินคืนจากผู้ที่ทำผิดเงื่อนไขจำนวนทั้งสิ้น 6,479 ราย คิดเป็นเงิน 418 ล้านบาทในจำนวนนี้มี 6,080 ราย ได้นำเงินมาคืนตามที่กระทรวงการคลังทำหนังสือทวงคืนเป็นเงิน 395 ล้านบาท แต่มีผู้ขอผ่อนส่งจำนวน 50 ราย ซึ่งสามารถผ่อนตามเงื่อนไขที่กำหนด

สำหรับที่เหลือทางกรมบัญชีกลางได้ทำเรื่องยื่นฟ้องจำนวน 399 รายคิดเป็นเงิน 22 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีผู้นำเงินมาคืนเพื่อยกเลิกการใช้สิทธิ์จำนวน 5,236 ราย เป็นเงิน 259 ล้านบาท

                สำหรับของแถม ของข่าวนี้  นายสมชายกล่าวว่า  ในส่วนของการเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในรอบปีงบประมาณ 2558 ที่ผ่านมา สามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 4.39 แสนล้านบาท ซึ่งเกินเป้าหมายจำนวน 1.84 หมื่นล้านบาท หรือ 4.37% โดยเป็นการเก็บภาษีน้ำมันได้เกินเป้าหมาย 6.22 หมื่นล้านบาท ขณะที่การเก็บภาษีรถยนต์ต่ำกว่าเป้าหมาย 2.67 หมื่นล้านบาท ภาษีเบียร์เก็บต่ำกว่าเป้าหมาย 7,753 ล้านบาท และภาษีสุราเก็บต่ำกว่าเป้าหมาย 9,505 ล้านบาท

วันเดียวกัน วันที่ 13 ต.ค.58 นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบ 3 มาตรการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วย 1.กำหนดให้ภาษีนิติบุคคลอยู่ในอัตรา 20% เป็นการถาวร หลังจากที่ได้ประกาศลดภาษีนิติบุคคลที่ 20% เป็นแบบชั่วคราวที่จะสิ้นสุดภายใน31 ธ.ค.2558 นี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักธุรกิจและนักลงทุน

มาตรการที่ 2 เป็นมาตรการทางภาษีเรื่องธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือเวนเจอร์แคปปิตอล (Venture Capital) เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีความคิดได้มีแหล่งเงินในการเริ่มต้นประกอบธุรกิจและให้สามารถตั้งบริษัทและเติบโตได้ในอนาคต โดยจะให้สิทธิประโยชน์การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 0% เป็นเวลา 10 ปี และการยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลของผู้ร่วมลงทุนในเวนเจอร์แคปปิตอล

               ส่วนมาตรการที่ 3 อันนี้สำคัญ

                          เพราะเป็นมาตรการสนับสนุนธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ แบ่งออกเป็น 3 มาตรการย่อย ประกอบด้วย มาตรการช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชนที่ขอสินเชื่อไม่ผ่านจากสาบันการเงิน ให้สามารถมีโอกาสกู้เงินได้ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท โดยโครงการนี้มีระยะเวลา 1 ปี ขณะที่เงื่อนไขจะเป็นไปตามที่ ธอส.กำหนด

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และค่าธรรมเนียมการจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% โดยไม่จำกัดมูลค่าของบ้าน ซึ่งเป็นมาตรการระยะสั้น 6 เดือน และจะช่วยเหลือเงินได้บุคคลธรรมดาที่ซื้อบ้านมูลค่าต่ำกว่า 3 ล้านบาท โดยสามารถนำ 20% ของมูลค่าบ้านมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ มีระยะเวลาถึงวันที่ 31 ธ.ค.2559 ซึ่งเชื่อว่ามาตรการอสังหาริมทรัพย์จะมีความเชื่อมโยงกับทุกด้านทำให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้

                อย่างไรก็ตามมาตรการอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาทโดยเฉพาะลดค่าโอนและจดจำนองสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท และมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1,000 ล้านบาท

              “เชื่อว่ามาตรการนี้จะส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์แม้ว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปบ้าง พอกระตุ้นให้มันฟื้นได้ก็จะตอบแทนมาในรูปแบบภาษีอื่น ซึ่งยังประเมินไม่ได้ว่าเท่าไร นอกจากนี้ภายในเดือนนี้คลังจะเร่งเสนอมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนด้วย” นายอภิศักดิ์ กล่าว

               ทางด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวว่า ทั้ง 3 มาตรการจะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและกระตุ้นเศรษฐกิจ

               นี่ก็สำคัญ เพราะนายสมคิดบอกว่า  ในอนาคตจะมีแนวคิดที่จะให้บริษัทใหญ่เข้ามาถือหุ้นเอสเอ็มอี

                   และขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับธนาคารออมสินให้มาดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเอกชน

                  ที่นำเสนอมานี้เป็นเพียงความคืบหน้าที่คณะรัฐมนตรีมีมติออกมาแล้ว ต่อไปก็จะเป็นวิธีการปฏิบัติจริง ซึ่งก็คงจะออกมาทันภายในปลายปีนี้ ใครที่ทราบข่าวนี้ก็พยายามทำการบ้านกันหน่อย ใครที่ขอกู้แล้วแบงก์ไม่ปล่อยก็ไปติดตามข่าวเอาที่ ธอส.หรือ ธนาคารอาคารสงเคราะห์นะครับ เผื่อว่า ความฝันที่อยากมีบ้านจะเป็นความจริง ขอให้โชคดีครับ

 

ขอขอบคุณที่มา ..แนวหน้าออนไลน์

 อรุณ ช้างขวัญยืน เรียบเรียงและรายงาน